Toggle navigation
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
สุขภาพ & ความงาม
น้ำมันดิบรั่วลงทะเล เตือน"ชาวระยอง" ดูแลสุขภาพถูกวิธี
น้ำมันดิบรั่วลงทะเล เตือน"ชาวระยอง" ดูแลสุขภาพถูกวิธี
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Tweet
เมื่อวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุน้ำมันดิบปริมาณ 50,000 ลิตร รั่วไหลออกจากท่อขนส่งลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง ซึ่งคราบน้ำมันถูกชัดเข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด กินพื้นที่ยาวกว่า 600 เมตร คราบน้ำมันมีความหนาประมาณ 20-30 เซนติเมตร บางส่วนลอยอยู่เป็นระยะๆ มีลักษณะคล้ายฟิล์มบางๆ จากฝั่งออกไปในทะเลอีกประมาณ 200 เมตร ซึ่งประเมินว่าต้องใช้เวลาในการกำจัดคราบน้ำมันอย่างน้อย 15 วัน ชายหาดจึงจะคืนสู่สภาพปกติ
โดยที่ผ่านมา ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ได้ออกมากล่าวเตือน สำหรับกลุ่มประชาชนที่ต้องระมัดระวังเป็นกรณีพิเศษ มี 4 กลุ่ม ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้ที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ได้แก่ โรคหอบหืด โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากจะได้รับผลกระทบได้ง่ายและเร็วกว่ากลุ่มอื่น ขอให้หลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณชายหาดที่มีคราบน้ำมันเหล่านี้ ควรอยู่ห่างประมาณ 500 เมตร และอยู่เหนือลม เพราะผู้คนที่อยู่แถวนั้นอาจจะได้รับผลกระทบทั้งต่อระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ระบบผิวหนัง โดยถ้าเริ่มมีอาการผิดปกติ ได้แก่ หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจหอบ วิงเวียนศีรษะ ระคายเคืองตา แสบตา คลื่นไส้อาเจียน ขอให้รีบพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ คาดการณ์ผลกระทบในระยะสั้นต่อบุคคลสองกลุ่ม คือผู้ปฏิบัติงานกำจัดคราบน้ำมันและผู้อยู่อาศัยในบริเวณนั้นซึ่งสัมผัสโดยตรงหรือใกล้ชิดกับน้ำมันดิบที่รั่วไหลออกมา อาจมีอาการผิด ปกติของระบบผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบอื่นๆ ซึ่งมักจะเกิดอาการผิดปกติหลังจากการสัมผัสถูกผิวหนัง การได้รับไอระเหยของน้ำมันดิบทางลมหายใจหรือการดื่มน้ำหรืออาหารที่มีสารจากน้ำมันดิบปนเปื้อน ผู้ที่อาจได้รับผลกระทบรุนแรง ได้แก่ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหอบหืด โรคระบบทางเดินหายใจ และโรคหัวใจ ซึ่งควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
ดังนั้น บุคคลที่มีความเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงการเข้าไปในบริเวณที่มีคราบน้ำมัน หากมีความจำเป็นต้องเข้าไปในบริเวณนั้น ต้องมีเครื่องป้องกันไม่ให้ร่างกายสัมผัสกับคราบน้ำมันและไอน้ำมัน คือ ควรสวมชุดป้องกัน รองเท้าบูตยาง ถุงมือ แว่นตา หน้ากากป้องกันไอสารพิษ และควรหลีกเลี่ยงการกระทำต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดการลุกไหม้ ติดไฟ เช่น การสูบบุหรี่ การใช้โทรศัพท์มือถือ หรือการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่อาจก่อให้เกิดประกายไฟ หากสัมผัสกับคราบน้ำมัน ควรรีบล้างด้วยน้ำสบู่และน้ำสะอาดทันที หรือในกรณีที่อยู่ในบริเวณที่มีไอระเหยของน้ำมัน ควรออกจากพื้นที่ หากมีอาการระคายเคืองตา จมูก คอ มีผื่นแดงขึ้นตามร่างกาย มีอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ควรพบแพทย์ทันที
นอกจากผลกระทบในระยะสั้นแล้ว การรั่วไหลของน้ำมันดิบยังอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว โดยน้ำมันดิบประกอบไปด้วยสารต่างๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นสารพิษอยู่จำนวนมาก ในจำนวนนี้ มีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารก่อมะเร็ง (Carcinogen) รวมอยู่ด้วย โดยสารก่อมะเร็งในน้ำมันดิบที่สำคัญ ได้แก่ เบนซีน และสารในกลุ่มโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน หรือ พี เอ เอช สารตัวแรกซึ่งได้แก่ เบนซีน นั้น มีพิษต่อระบบเลือดและก่อให้เกิดมะเร็งของเม็ดเลือดได้ อย่างไรก็ดี เบนซีนเป็นสารที่สามารถระเหยเป็นไอได้อย่างรวดเร็ว จึงมักจะระเหยสู่บรรยากาศ ก่อนที่คราบน้ำมันจากทะเลจะลอยเข้าสู่ชายฝั่งหรือบริเวณที่ประชาชนอยู่อาศัย อีกทั้งเบนซีนไม่ตกค้างในสิ่งแวดล้อมและในตัวมนุษย์นาน จึงมักไม่เกิดการสะสมในร่างกาย ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดความผิดปกติจากพิษของเบนซีนในระยะยาวจึงมีไม่มากนัก
และสารตัวที่สองได้แก่ สารในกลุ่ม พี เอ เอช ซึ่งสารกลุ่มนี้ตรวจพบได้ทั่วไปจากกระบวนการเผาไหม้ จากควันท่อไอเสียรถยนต์ ควันบุหรี่ กระบวนการปรุงอาหารและแปรรูปอาหาร สารกลุ่ม พี เอ เอช นี้มีพิษ อาจก่อให้เกิดมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งผิวหนังและมะเร็งปอด รวมทั้งสามารถตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมและในร่างกายมนุษย์ได้เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการสะสมในร่างกายเมื่อได้รับสารนี้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานๆ ดังนั้นสารในกลุ่มนี้จึงเป็นกลุ่มหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดปัญหาแก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
นอกเหนือจากสารพิษต่างๆ ที่อยู่ในน้ำมันดิบแล้ว สิ่งที่น่ากังวลอีกประการหนึ่งคือการสลายคราบน้ำมัน ซึ่งยังไม่ชัดเจนว่าผู้ที่กำจัดคราบน้ำมันใช้สารชนิดใดและมีความเป็นพิษหรือไม่ โดยปกติ จะมีการนำสารที่มีฤทธิ์ทำให้น้ำมันสามารถละลายในน้ำได้มาใช้ในการสลายคราบน้ำมันเมื่อน้ำมันดิบละลายไปกับน้ำทะเล สารพิษบางส่วนในน้ำมันดิบระเหยเป็นไอสู่บรรยากาศ สารพิษที่เหลือจะละลายไปกับน้ำทะเลและยังคงหมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศ โดยสารเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดการเพิ่มจำนวนของสาหร่ายทะเลจำนวนมากหลายชนิดรวมทั้งชนิดที่มีพิษด้วย
นอกจากนี้ ยังมีสารโลหะหนักและสารอีกบางส่วนจากน้ำมันดิบตกลงสู่พื้นทะเลและเกิดการสะสมอยู่ในบริเวณนั้น โดยปกติแผ่นหินพื้นทะเลมีบทบาทในระบบนิเวศ ช่วยในการดูดซับสารหนูที่กระจายอยู่ในทะเล แต่เมื่อมีสารจากการสลายคราบน้ำมันดิบตกลงไปเคลือบบนแผ่นหินพื้นทะเล สารเหล่านี้อาจรบกวนการดูดซับสารหนูจากทะเลสู่แผ่นหิน ทำให้มีการสะสมสารหนูในสัตว์ทะเลสูงขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อผู้ที่บริโภคอาหารทะเลในท้ายที่สุด
ดังนั้น ประชาชนผู้อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงกับจุดเกิดเหตุดังกล่าว ควรสังเกตอาการผิดปกติของตนเองและบุคคลในครอบครัวอย่างใกล้ชิด รวมทั้งควรตระหนักถึงผลทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว โดยใส่ใจกับการตรวจสุขภาพเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ