Toggle navigation
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
สุขภาพ & ความงาม
ดูแลลำไส้...บำรุงด้วย สมุนไพร 6 ชนิด
ดูแลลำไส้...บำรุงด้วย สมุนไพร 6 ชนิด
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Tweet
ที่ผ่านมาสถานพยาบาลหลายแห่งได้มีคำแนะนำให้ประชาชนทั่วไปที่มีอายุ 50 ปีหรือมากกว่าเข้ารับการตรวจลำไส้ใหญ่เป็นประจำโดยไม่ต้องรอให้มีอาการผิดปกติ เช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปี
หลายคนคงสงสัยในคำแนะนำดังกล่าวนี้ว่า เหตุใดต้องตรวจลำไส้ใหญ่ในเมื่อไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด มีเพียงแค่อายุ 50 ปีเท่านั้น
ในเรื่องดังกล่าวโรงพยาบาลรามคำแหง ได้ให้ข้อมูลที่สามารถตอบคำถามนี้ได้ นั่นคือ ประการแรก ปัจจุบันในประเทศไทยพบมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ในอันดับที่ 2 ของมะเร็งที่พบได้ในผู้ชายและอันดับที่ 3 ของมะเร็งในผู้หญิง และพบว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งมีการลุกลามเข้าไปในต่อมน้ำเหลืองหรือกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ หรือเป็นระยะลุกลามแล้ว
เหตุผลประการที่ 2 คือ ลำไส้ใหญ่เป็นอวัยวะที่อยู่ภายในร่างกาย คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็นลำไส้ใหญ่ของตนเองตลอดเวลา ก้อนเนื้อร้ายหรือมะเร็งจึงสามารถค่อยๆ โตอยู่ได้ภายในลำไส้ใหญ่โดยที่ผู้ป่วยไม่มีโอกาสรู้ตัว
จะมีอาการก็เมื่อมะเร็งมีขนาดใหญ่พอสมควร ทำให้ถ่ายอุจจาระลำบากหรือมีเลือดออกทางทวารหนัก ซึ่งในขณะนั้นมะเร็งอาจจะมีการแพร่กระจายออกไปนอกลำไส้ใหญ่แล้ว
ดังนั้นหากรอให้มีอาการผิดปกติเสียก่อน โรคก็มักจะเข้าสู่ระยะที่เป็นมากแล้วซึ่งแน่นอนว่าการรักษาก็ต้องยากขึ้นไปด้วย
ด้วยเหตุผลทั้ง 2 ข้อ ปัจจุบันจึงมีคำแนะนำให้ตรวจลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปโดยที่ไม่ต้องรอให้มีอาการผิดปกติ เนื่องจากเป็นช่วงอายุที่ตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้บ่อยขึ้นตามสถิติ
อย่างไรก็ตาม ถ้ามีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมีอาการผิดปกติ เช่น การขับถ่ายอุจจาระผิดปกติไป ท้องผูกสลับท้องเสีย มีเลือดออกทางทวารหนัก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อาจจะต้องทำการตรวจก่อนหน้านั้น โดยที่ไม่ต้องรอจนอายุ 50 ปี
ในส่วนของการตรวจลำไส้ใหญ่นั้นสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นมาตรฐานในปัจจุบัน
ข้อดีของการส่องกล้องลำไส้ใหญ่คือแพทย์สามารถเข้าไปตรวจดูภายในลำไส้ใหญ่ได้โดยที่ไม่ต้องทำการผ่าตัด เพียงสอดกล้องขนาดเท่านิ้วก้อยเข้าไปภายในลำไส้ใหญ่ ซึ่งสามารถตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและในกรณีที่ตรวจพบความผิดปกติ แพทย์สามารถใช้เครื่องมือทำการตัดเนื้องอกหรือมะเร็งระยะเริ่มต้นผ่านทางกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ได้ทันที
ซึ่งวิธีการดังกล่าวบางครั้งสามารถตัดเนื้องอกออกก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง จึงเป็นที่มาของคำแนะนำส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป โดยที่ไม่ต้องรอให้มีอาการผิดปกติ
กล่าวโดยสรุป กลุ่มที่ควรเข้ารับการตรวจลำไส้ใหญ่ คือ ผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจโดยไม่ต้องรอให้มีอาการผิดปกติ ส่วนผู้ที่มีสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ให้ทำการตรวจก่อนคนที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่อย่างน้อย 10 ปี เช่นมีญาติเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ตอนอายุ 55 ปี ต้องเข้ารับการตรวจตอนอายุ 45 ปี
สุดท้ายคือ กรณีมีอาการผิดปกติที่สงสัยมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น มีท้องผูกสลับท้องเสีย ท้องผูกเฉียบ พลันในผู้สูงอายุ เลือดออกทางทวารหนัก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กโดยที่ไม่มีสาเหตุอื่นอธิบาย
นอกจากการตรวจลำไส้ใหญ่แล้ว วิธีที่จะต่อสู้กับโรคมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพอีกวิธีหนึ่งคือ การลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลง ซึ่งสามารถทำได้โดยการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและมีประโยชน์กับร่างกาย โดยเฉพาะกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย
ในประเทศไทยเองมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีสรรพคุณเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย เช่น ช่วยย่อย แก้ท้องอืดหรือขับลม ซึ่งผู้สนใจสามารถหาข้อมูลได้จากแหล่งต่างๆ เช่น อินเตอร์เน็ตหรือหนังสือ
โดยสมุนไพรที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารและเป็นสมุนไพรที่หารับทานได้ง่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ใบแมงลัก กระเทียม หอมแดง ใบกะเพราและพริกสด เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกันเล็กน้อย
ใบแมงลัก น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักซึ่งประกอบด้วย borneol L-B-cadinene, 1-8-cineol, B-caryophyllene, eugenol เป็นยาช่วยย่อยและขับลมชั้นดี ผู้ที่ลำไส้ทำงานไม่ดีจนทำให้ท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ให้ลองทานใบแมงลัก 4-5 ใบ หรือนำมาทำน้ำต้มใบแมงลักก็ได้
กระเทียม เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการอาหารไม่ย่อย ตามตำรายาไทยใช้หัวกระเทียมเป็นยาขับลม แก้ลมจุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ธาตุพิการและอาหารไม่ย่อย โดยใช้กระเทียม 5-10 กลีบ ซอยละเอียดรับประทานหลังอาหารหรือพร้อมอาหาร
หอมแดง หอมแดงมีสารที่มีประโยชน์ถึง 4 ชนิด ได้แก่ สารฟลาโวนอยส์, ไกลโคไซต์, เพคตินและกลูโคคินิน สารทั้ง 4 มีสรรพคุณบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร
ตะไคร้ มีสรรพคุณทางยาหลายประการ เช่น บำรุงธาตุ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับลมในลำไส้ทำให้เจริญอาหาร โดยสามารถใช้ทั้งต้นหรือเฉพาะหัวแก้ท้องอืดท้องเฟ้อได้
ใบกะเพรา ใช้บำรุงธาตุไฟธาตุ ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นไส้อาเจียน โดยน้ำสกัดจากกะเพราทั้งต้น มีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี และช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียดได้
พริกสด ความเผ็ดของพริก คือยากระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งกลายเป็นน้ำตาล ช่วยให้ลำไส้ซึ่งมีหน้าที่ย่อยแป้งไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป
นอกจากสมุนไพรดังกล่าวแล้ว การรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ผักและผลไม้เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน เนื่องจากหากทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป อุจจาระจะแข็งจนอาจทำให้เกิดบาดแผลที่ลำไส้ใหญ่ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งได้
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ