"ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน" เกิดขึ้นได้ทุกเวลาโดยไม่มีสัญญาณเตือน และเป็นภาวะฉุกเฉินที่ต้องรักษาทันที หากปล่อยไว้นานโอกาสรอดชีวิตจะลดลง โดยสามารถพบได้ทุกช่วงอายุและสามารถเกิดขึ้นได้ทุกสถานที่และทุกช่วงเวลา
นพ.ศาสตรา จารุรัตนานนท์ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านอายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล อธิบายว่า ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือ ภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ จนไม่มีการบีบตัวหรือหยุดเต้นทันที โดยไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า เมื่อเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันนี้ จะไม่มีการไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้การทำงานของอวัยวะผิดปกติ ซึ่งอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการทำงานของสมอง เมื่อไม่มีเลือดมาเลี้ยงจะทำให้หมดสติ การช่วยเหลือจึงจำเป็นต้องทำอย่างทันท่วงที ซึ่งแตกต่างจากภาวะหัวใจกำเริบเฉียบพลัน (Heart attack)
สำหรับภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากความผิดปกติของหัวใจโดยกำเนิด หรือสาเหตุภายนอกที่ทำให้หัวใจหยุดเต้นก็ได้ สำหรับผู้ป่วยที่อายุมากกว่า 35 ปีขึ้นไป ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันที่พบบ่อยได้แก่ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ ฯลฯ ส่วนผู้ป่วยที่อายุน้อยกว่า 35 ปีส่วนใหญ่เกิดจาก โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาชนิดไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งภาวะนี้การออกกำลังกายเป็นตัวกระตุ้นให้หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันได้ นอกจากนี้ก็ยังอาจเกิดจากภาวะเส้นเลือดหัวใจขาดเลือดในคนอายุน้อยหรือภาวะเส้นเลือดหัวใจผิดปกติโดยกำเนิด
ทั้งนี้ อาการเตือน “แต่มักไม่ได้สังเกต” คือ 1.เหนื่อยง่าย 2.อ่อนเพลีย 3.แน่นหน้าอกเวลาที่มีภาวะเครียดหรือเวลาออกแรง โดยเราสามารถมีการตรวจหลายชนิดที่อาจจะประเมินความเสี่ยงได้ด้วยการทดสอบ ดังนี้ การตรวจเลือด เช่น ระดับน้ำตาล, ไขมัน , คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram) , คลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ (Echocardiogram) และ การติดตามการเต้นหัวใจ (Holter Monitoring)
ทั้งนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีจะสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน รวมทั้งโรคหัวใจได้ เริ่มตั้งแต่การกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม ดูแลรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และไขมันในเลือดสูง สุดท้ายควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี