“ดวงตา คือ หน้าต่างของหัวใจ” เป็นคำกล่าวที่เราเคยได้ยินติดหูตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยบริเวณรอบดวงตาทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น ดวงตา แววตา คิ้ว หรือแม้กระทั่งองค์ประกอบของรอบตาโดยรวมสามารถระบุเอกลักษณ์ของแต่ละบุคคลได้ และยังเป็นบริเวณที่สำคัญที่สุดของใบหน้าที่ใช้ในการสื่ออารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ รวมถึงการถ่ายทอดเสน่ห์ในตัวคนนั้นๆ ให้ประทับใจต่อบุคคลอื่นได้อีกด้วย กระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้เกิดขึ้นทุกวัน กับทุกคน แฝงอยู่ในสังคม แม้จะมีวัฒนธรรมหรือค่านิยมทางสังคมที่แตกต่างกัน โดยที่เราทุกคนไม่ทันได้สังเกตเลย
เสน่ห์ของใบหน้าและบริเวณรอบตายังมีส่วนเกี่ยวข้องกับอีกประเด็นที่มีการศึกษากันมานานและยิ่งถูกเน้นให้ความสำคัญมากขึ้นอีกในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาคือ “เรื่องของชีวิตและจิตใจ: ความภาคภูมิใจในตนเอง และคุณภาพชีวิต” โดยมีการศึกษามากมายในนานาประเทศพบว่า ใบหน้าและดวงตาที่มีเสน่ห์ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สามารถนำพาให้เจ้าของใบหน้าและดวงตาคู่นั้นประสบพบเจอและได้รับสิ่งดีๆ จากสังคมได้ เช่น มีโอกาสได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นๆง่ายกว่า ได้หน้าที่การงานที่ดีกว่า มีอภิสิทธิ์ทางเศรษฐสังคมที่เหนือกว่า มีโอกาสได้เลือกใช้ชีวิตที่ดีอย่างตรงใจมากกว่า นอกจากนี้ยังมีโอกาสพบกับคู่ครองที่ดีกว่า และยังสร้างความสุขความพึงพอใจกับคู่ครองได้มากกว่าผู้ที่มีใบหน้าและดวงตาที่มีเสน่ห์น้อยกว่าซึ่งแม้จะน้อยกว่าเพียงเล็กน้อยก็ตาม
ในปัจจุบัน แม้ท่ามกลางสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ทั่วโลกยังมีนโยบายและมาตราการบังคับสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หลายส่วนของใบหน้าถูกปกคลุมด้วยหน้ากากอนามัย ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา ซึ่งก็ยังรบภาระหน้าที่ต่างๆ เหล่านั้นอยู่เสมอมา นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญว่า จากทุกองค์ประกอบของใบหน้าแล้ว บริเวณรอบดวงตาถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ที่มีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึก และตัวตนของบุคคล ทั้งยังอาจมีอิทธิพลต่อปัจจัยต่างๆ ทางจิตสังคม รวมถึงความภาคภูมิใจในตนเอง และคุณคุณภาพชีวิตได้โดยไร้ข้อจำกัดทางด้านสังคมและกาลเวลา
อย่างไรก็ตาม บริเวณรอบตาของทุกคนย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกชั่วขณะเวลา อาจเกิดริ้วรอยจากความชรา เกิดรอยหมองคล้ำใต้ตา มีความหย่อนคล้อยของถุงใต้ตา หรือแววตาอาจมีการเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งในหลาย ๆ คนก็สามารถเกิดริ้วรอยความหมองคล้ำใต้ตาได้ทั้งที่อายุยังไม่ได้เข้าสู่วัยชรา อาจด้วยปัจจัยหลายๆ อย่าง จนก่อให้เกิดความกังวลจนเกิดอารมณ์เชิงลบ ส่งผลเชิงลบต่อปัจจัยทางจิตสังคม และมีผลกระทบต่อความภาคภูมิใจในตนเองให้เสื่อมถอยลง และมีความสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ไม่ถูกใจเจ้าของใบหน้าและดวงตานั้นๆ อย่างแน่นอน
ปัจจุบันเราสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องความชราบริเวณรอบดวงตา โดยหลากหลายวิธีที่เหมาสมและปลอดภัย เช่นการฟื้นฟูปรับสภาพผิวด้วยผลิตภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งมีมากมายในท้องตลาด รวมถึงการฉีดสารเติมเต็มผิว (ฟิลเลอร์) ที่ได้มาตรฐาน และนวัตกรรมเทคนิคต่างๆ อีกมากมายด้านการศัลยกรรมตกแต่ง ที่สามารถช่วยแก้ปัญหาและเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
ล่าสุดได้มีการศึกษาวิจัยเรื่อง “ความสัมพันธ์ระหว่างการฟื้นฟูปรับสภาพผิวบริเวณรอบตาด้วยสารเติมเต็มผิวแบบฉีดชนิดกรดไฮยาลูรอนิก กับความภาคภูมิใจในตนเอง คุณภาพชีวิต และพฤติกรรมสุขภาพ ของผู้หญิง” โดย นายแพทย์พีรพงศ์ เจียมจิรชาติ และผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์มาศ ไม้ประเสริฐ แห่งวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ แพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน เวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ เวชศาสตร์ความงาม และยังมีประสาบการณ์เกี่ยวข้องกับการประเมินคุณภาพชีวิตตามหลักเวชศาสตร์ครอบครัว ทั้งในผู้ป่วยและผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พัชราภา ตันติชูเวช แห้งภาควิชาครุศึกษา คณะศึกษาศาสตร์และพัฒนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ผู้มีความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ในการศึกษาและประเมินเชิงลึกด้านความภาคภูมิใจในตนเองที่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่านได้หยิบยกประเด็นการศึกษาที่ “ทุกคนอาจรู้อยู่แล้วว่ามันน่าจะเป็นแบบนี้” แต่ถูกมองข้าม นำมาศึกษาในหลากหลายมุมมองและประเด็น ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยพบว่า ปัญหาสุนทรียศาสตร์บริเวณรอบตามีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิง และการฟื้นฟูปรับสภาพผิวบริเวณรอบดวงตาด้วยสารเติมเต็มผิวแบบฉัดก็สามารถช่วยเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองและคุณภาพชีวิตของผู้หญิงให้ดีขึ้นได้ ในขณะเดียวกันการดูแลสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคตามแนวทางเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ จะส่งผลดีต่อความภาคภูมิใจในตนเอง และคุณภาพชีวิต ก็อาจมีความสัมพันธ์ต่อผลการฟื้นฟูปรับสภาพผิวได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้เชียวชาญยังได้เน้นย้ำถึง การฟื้นฟูปรับสภาพผิวบริเวณรอบตาที่เหมาะสมและปลอดภัย ซึ่งควรประกอบด้วยการประเมินและคัดกรองผู้เข้ารับการรักษาที่เหมาะสม การเลือกผลิตภัณฑ์และเทศนิคให้เหมาะสมกับข้อบ่งชี้และบริเวณที่ต้องการรักษา รวมถึงความรู้ความเข้าใจประสบการณ์ และเทคนิคการรักษาที่ดีของแพทย์ผู้ให้การรักา ย่อมเป็นสิ่งจำเป็นและควรคำนึงถึงอยู่เสมอเพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการฉีดสารเติมเต็มผิว โดยเฉพาะการอุดตันหรือการตีบตันของหลอดเลือดจากการฉีดสารเติมต็มผิว หรือผลของการศัลยกรรมที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง อีกทั้งยังควรมีการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอร่วมด้วย
** บทความวิจัยโดย **
นายแพทย์พีรพงศ์ เจียมจิรชาติ และ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์นายแพทย์มาศ ไม้ประเสริฐ
แห่งวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์