Toggle navigation
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
สุขภาพ & ความงาม
"นอนไม่หลับ" รักษาก่อนสายเกินแก้
"นอนไม่หลับ" รักษาก่อนสายเกินแก้
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Tweet
เชื่อว่าหลายคนคงเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มว่าปัญหาดังกล่าวจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ประมาณร้อยละ 30 ของประชากรทั่วไปเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนไม่หลับ และร้อยละ 6-10 มีปัญหาการนอนไม่หลับรุนแรงถึงขั้นต้องได้รับการรักษา
ทั้งนี้ ปัญหาการนอนไม่หลับเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ความเครียด สิ่งแวดล้อมก่อนนอนที่ไม่ส่งเสริมให้เกิดการนอน เช่น มีความสว่างมากเกินไป มีเรื่องให้คิดก่อนนอน เข้านอนตื่นนอนไม่เป็นเวลา การรบกวนจากอาการของโรคทางกาย เช่น อาการปวดปัสสาวะบ่อยกลางคืน และจากโรคทางจิตเวช เช่น โรควิตกกังวล โรคอารมณ์ซึมเศร้า โรคแพนิค โดยผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปจะมีอัตราเสี่ยงสูงขึ้น เนื่องจากมีฮอร์โมนเมลาโทนินลดลง ซึ่งเมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ช่วยทำให้เกิดการนอนหลับ ซึ่งแตกต่างไปจากยานอนหลับทั่วไป
ผศ.นพ.สุรชัย เกื้อศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์ และผู้อำนวยการคลินิกปัญหาการนอน โรงพยาบาลมนารมย์ เปิดเผยว่า ปัญหาการนอนไม่หลับสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เนื่องจากเมื่ออายุมากขึ้น ช่วงนอนหลับจะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะช่วงเวลาของการนอนหลับลึกจะน้อยกว่าผู้ที่อยู่ในช่วงวัยเด็ก หรือวัยรุ่น
อีกทั้งผู้สูงอายุมีโอกาสเสี่ยงต่อปัจจัยอื่นๆ ที่กระทบต่อการนอนหลับได้มากกว่า เช่น ภาวะทางจิตใจ ภาวะเครียด หรือโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ขณะที่รายงานการวิจัยพบว่า ความต้องการในการนอนหลับของคนเราคงที่ตลอดช่วงชีวิต คือ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่ที่อยู่ในช่วงวัยทองก็ตาม
ทั้งนี้ จากรายงานการศึกษาในปี 2553 ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ชื่อ Sleep โดยทีมแพทย์จากมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนีย ซึ่งทำการวิจัยข้อมูลจากการสัมภาษณ์คนจำนวน 30,397 คน พบว่าจำนวนชั่วโมงการนอนหลับมีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะคนที่นอนน้อยกว่า 5 ชั่วโมงมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนที่นอน 7 ชั่วโมงเป็น 2 เท่า โดยความเสี่ยงจะสูงขึ้นใน ผู้หญิงและในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี และจากรายงานการสำรวจประชากร 52,000 ราย ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน พบว่าผู้ที่มีปัญหาการนอนไม่หลับเกือบทุกคืน จะเพิ่มโอกาสของการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันสูงขึ้นเกือบ 50%
ดังนั้น ผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับจึงควรแก้ไขรักษาตั้งแต่ต้น เพื่อไม่ให้เกิดอาการเรื้อรัง และอาจช่วยไม่ให้มีปัญหาโรคแทรก ซ้อนเกิดตามมา ปัจจุบันมีตัวยาหลายชนิดที่สามารถใช้รักษา หรือบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ แต่ยาเหล่านั้นก็ยังมีผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้คือ อาการเพลีย และอาจรู้สึกง่วงซึมได้ในวันถัดไป รวมทั้งปัญหาการดื้อยา ทำให้ต้องรับประทานยาเพิ่มขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ และอาจมีอาการนอนไม่หลับที่รุนแรงกว่าเดิมเกิดขึ้นหลังจากการหยุดยาอย่างกะทันหัน
การรักษาอาการนอนไม่หลับด้วยเมลาโทนิน เป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกจากยานอนหลับทั่วไป เมลาโทนินเริ่มนำมาใช้ในสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในการรักษาปัญหาการนอนไม่หลับในรูปแบบของอาหาร นอกจากนั้นยังมีการกล่าวถึงคุณสมบัติอื่นๆ ของเมลาโทนินในการช่วยปรับเวลานอนหลับ และหายจากการอ่อนเพลียในการเดินทางข้ามโซนเวลา, เพิ่มภูมิคุ้มกัน, ต้านเนื้อร้ายของโรคมะเร็ง และการชะลอวัย
เมลาโทนินเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายผลิตได้เองจากต่อมไพเนียลในสมอง ระดับของเมลาโทนินจะขึ้นลงในแต่ละวัน โดยแสงสว่างทำให้มีการผลิตเมลาโทนินน้อยในช่วงเวลากลางวัน และแสงสว่างที่ลดลง หรือความมืด ทำให้มีการผลิตเมลาโทนิน มากในช่วงเวลากลางคืน ทั้งนี้ ระดับของเมลาโทนินจะลดลงในผู้ที่อายุเกิน 55 ปีขึ้นไป
ระดับเมลาโทนินที่ขึ้นลงตามแสงสว่างและความมืด จะช่วยให้อวัยวะในร่างกายทำงานเป็นวงจร สัมพันธ์กับกลางวันและกลางคืนไปด้วย โดยเฉพาะศูนย์ควบคุมการนอนหลับในเวลากลางคืน เมื่อมีระดับเมลาโทนินขึ้นสูง ทำให้การตื่นตัวลดลง อุณหภูมิร่างกายลดลง และเหนี่ยวนำให้ศูนย์นอนเริ่มทำงาน จึงทำให้เกิดการนอนหลับ และในตอนเช้าเมื่อเมลาโทนินลดระดับลง ก็ทำให้ตื่นขึ้น
เมลาโทนินยังมีคุณสมบัติอีกอย่างหนึ่ง คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถ้ามีอนุมูลอิสระมาก จะทำอันตรายต่อเซลล์ ทำให้เกิดการชราภาพของเซลล์ โดยเมลาโทนินจะไปจับ หรือกำจัดอนุมูลอิสระ จึงเป็นเหมือนการปกป้องเซลล์ ทำให้เชื่อว่าเมลาโทนินมีคุณสมบัติชะลอความชราภาพโดยผ่านกระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระนี้
แต่เดิมเมลาโทนินที่มีขายกันในท้องตลาดเป็นรูปแบบอาหารเสริมที่ออกฤทธิ์สั้น และไม่ใช่ยา ซึ่งหมายความว่า ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการอาหารและยา และไม่มีการควบคุมการผลิตและคุณภาพอย่างเข้มงวดเหมือนผลิตภัณฑ์ที่ถูกจัดว่าเป็นยา ทำให้ไม่มีเครื่องรับประกันถึงคุณภาพและความบริสุทธิ์ และยังมีขนาดที่แตกต่างกันออกไป ในปัจจุบันมีเมลาโทนินรูปแบบออกฤทธิ์นานที่ได้รับการศึกษายืนยันถึงประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาการนอนไม่หลับ ในผู้ป่วยอายุ 55 ปีขึ้นไป และสามารถใช้ได้นานต่อเนื่อง 3 เดือน โดยไม่มีปัญหาของการดื้อยา และไม่มีอาการถอนยาถ้าหยุดยา
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ