Toggle navigation
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
สุขภาพ & ความงาม
เชื้อเอช. ไพโลไร เหตุมะเร็งกระเพาะอาหาร
เชื้อเอช. ไพโลไร เหตุมะเร็งกระเพาะอาหาร
วันพุธที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2556
Tweet
โรคกระเพาะอาหาร หมายถึง โรคที่มีแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือมีการอักเสบของเยื่อกระเพาะอาหาร ซึ่งจะพบบ่อยในประชากรวัยทำงาน และ พบในชายมากกว่าหญิง อาการสำคัญ คือ มีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ มักจะสัมพันธ์กับการกินอาหาร อาการจะดีขึ้น หรือหายไป เมื่อรับประทานอาหาร ยาลดกรด หรือนม อาการมักเป็นๆ หายๆ อาจจะเป็นช่วงแรก ไม่นานแล้วก็หายไป แล้วเป็นใหม่ กลายเป็นแผลเรื้อรังได้ ซึ่งบางครั้งอาจมีผลแทรกซ้อน เช่น มีเลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร หรือแผลนั้นทะลุเกิดการอักเสบในช่องท้อง ต้องผ่าตัดฉุกเฉิน หรืออาจจะเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ศ.พญ.วโรชา มหาชัย ประธานศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ กล่าวถึงสาเหตุของโรคแผลในกระเพาะอาหารว่า ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารส่วนใหญ่จะมีอาการเกี่ยวกับกระเพาะอาหารส่วนบน มีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องผูก จุกเสียด แสบท้อง อาหารไม่ย่อย ซึ่งผู้ป่วยอาจจะยังไม่รู้ตัวว่าเป็นอะไร โดยผู้ป่วยส่วนมากมักจะซื้อยารับประทานเองก่อนไปพบแพทย์หรือตรวจรักษา ซึ่งก็ทำให้อาการบรรเทาลงได้ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา รวมถึงการตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรหรือเรียก เอช. ไพโลไร (H. pylori) ที่เป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
"เชื้อเอช. ไพโลไร นี้มักจะอยู่ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร ซึ่งมีการค้นพบเชื้อนี้มานาน เอช. ไพโลไร กว่า 30 ปีแล้วโดยแพทย์ชาวออสเตรเลีย 2 ท่าน คือ ศ.นพ.แบรีย์ มาร์แชล (Barry Marshall) และศ.นพ.เจ โรบิน วาร์เรน (Robin Warren) ว่า เอช. ไพโลไร มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง การเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ตลอดจนมะเร็งกระเพาะอาหาร เชื้อ เอช. ไพโลไร มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหางมีความทนกรดสูงเนื่องจากสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่รอบๆ ตัวมันจึงสามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบภายในกระเพาะอาหารได้และยังสร้างสารพิษไปทำลายเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหาร โดยอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น อาจจะเกี่ยวเนื่องจากทางสายพันธุ์ รวมถึงภูมิต้านทานโรคของแต่ละคน"
สำหรับประเทศไทยเองก็ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับโรคในระบบทางเดินอาหาร โดยได้จัดตั้งศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ ขึ้นเพื่อสนับสนุนการทำวิจัยเกี่ยวกับโรคกระเพาะอาหาร โรคแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร รวมถึงเป็นศูนย์สื่อการเรียนการสอนและการทำงานวิจัย งานวิชาการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ
ด้าน รศ.ดร.นพ.รัฐกร วิไลชนม์ เลขาธิการศูนย์วิจัยมะเร็งกระเพาะอาหารและการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมเกี่ยวกับเชื้อ เอช. ไพโลไร ว่า การติดเชื้อ เอช. ไพโลไร ถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขระดับโลกที่สำคัญ มีผู้ติดเชื้อแบคทีเรียนี้มากกว่า 1,000 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศในเขตอเมริกาใต้แอฟริกาและเอเชีย ในปีพ.ศ.2537 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดให้การติดเชื้อ เอช. ไพโลไร เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารสำหรับในประเทศไทยพบมีการติดเชื้อ เอช. ไพโลไร ถึง 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมด หรือประมาณ 20 ล้านคนทั่วประเทศ ซึ่งการติดเชื้อชนิดนี้ นอกจากจะเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังแล้ว ยังมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในกระเพาะอาหาร (MALT lymphoma) อีกด้วย
"การรักษาในปัจจุบัน จะมีการตรวจหาเชื้อ เอช. ไพโลไร ในผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันว่าเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ซึ่งการตรวจหาเชื้อ เอช. ไพโลไร สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การส่องกล้องกระเพาะอาหาร การเจาะเลือด การตรวจทางลมหายใจ หรือ Urea Breath Test และการตรวจอุจจาระเมื่อพบว่ามีการติดเชื้อ เอช. ไพไลไร จำเป็นต้องทำการรักษาและกำจัดเชื้อนี้ เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารให้หายขาดโดยมีแนวทางในการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อ เอช. ไพโลไร อยู่โดยใช้สูตรยากำจัดเชื้อซึ่งการรักษาที่นิยมใช้กันมากและมีประสิทธิภาพสูง ได้แก่ การใช้ยาลดการหลั่งกรด 1 ชนิด ร่วมกับยาปฏิชีวนะอีก 2 ชนิด เป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ ซึ่งพบว่าสามารถกำจัดเชื้อได้มากกว่า 90% และภายหลังจากการหยุดรักษาไปแล้ว 4 สัปดาห์ก็จะไม่พบเชื้อ เอช. ไพโลไร นี้อีกโดยหลังจากที่กำจัดเชื้อ เอช. ไพโลไร แล้วโอกาสที่จะกลับมาเป็นแผลในกระเพาะอาหารซ้ำลดลงไปอย่างมาก"
ทั้งนี้ โรคแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากการติดเชื้อ เอช. ไพโลไร สามารถรักษาและมีโอกาสหายขาดได้เพียงหมั่นสังเกตพฤติกรรมว่ามีอาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือไม่ รวมถึงมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงการติดเชื้อ เอช. ไพโลไร อาทิ อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ ปวดท้องรุนแรง ปวดท้องกระเพาะอาหารเรื้อรังเป็นเวลานานเกิน 1 เดือน หรือเบื่ออาหารน้ำหนักลดลงมาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคำปรึกษา และรับการรักษาอย่างถูกวิธี
นอกจากนั้นการปรับพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร อาทิ รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย ให้ตรงเวลา หลีกเลี่ยงอาหารเผ็ด รสจัด งดบุหรี่ งดการดื่มสุรา งดการใช้ยาแอสไพริน และยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ผ่อนคลายความเครียดและวิตกกังวลทั้งหลาย รวมถึงการพักผ่อนให้เพียงพอก็จะช่วยป้องกันโรคแผลในกระเพาะอาหารได้
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ