ชีวิตที่เร่งรีบในแต่ละวัน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทิ้งเวลาไปกับการจราจรในเมืองหลวงอยู่เป็นประจำนั้น ช่างห่างไกลกับคำว่าชิล ถนนโล่ง ๆ ในช่วงวันหยุดยาวจึงเปรียบเสมือนของขวัญสำหรับคนใช้รถใช้ถนนในเมืองกรุง
การเดินทางขับรถออกไปท่องเที่ยวจึงเป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความผ่อนคลายให้กับผู้คนได้ ไม่เฉพาะคนเมืองเท่านั้น เพราะคนในแต่ละจังหวัดก็อยากจะสัมผัสบรรยากาศที่แตกต่าง ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล เหล่านักเดินทางก็อยากจะเปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ ทริปเที่ยวข้ามภาคจึงเป็นคำตอบที่ใช่ หากมีเพื่อนร่วมทางเคียงข้างกันไปก็จะอุ่นใจขึ้นเป็นพิเศษ
เมื่อวันที่ 23-26 ธันวาคม 2565 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ภูมิภาคภาคกลาง จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทางรถยนต์ Road Trip รูปแบบประหยัดพลังงาน ภายใต้โครงการ "คาราวาน C2 Connect Plus” เส้นทางกรุงเทพฯ-สิงห์บุรี-กำแพงเพชร-เชียงใหม่-เชียงราย-พะเยา โดยมีแนวคิดในการเชื่อมเส้นทางท่องเที่ยวข้ามภาค (กลาง-เหนือ) สร้างสีสันรับปีใหม่ ส่งต่อความสุขใจให้กับชุมชนสิ่งแวดล้อม
การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ได้รับความร่วมมือจาก บริษัท เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด นำรถยนต์ไฮบริดยี่ห้อ Haval รุ่น H6 จำนวน 6 คัน Haval Jolion 1 คัน เพื่อใช้เป็นพาหนะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวแบบประหยัดพลังงาน พร้อมทั้งนักท่องเที่ยวรวม 60 ท่าน ที่ได้นำรถยนต์เข้าร่วมกิจกรรมอีก 14 คัน รวม 21 คัน
DAY 1 กรุงเทพฯ-สิงห์บุรี-เชียงใหม่
คาราวาน C2 Connect Plus ออกเดินทางจากสำนักงาน ททท. ถ.เพชรบุรี กันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า ราวเก้าโมงก็ไปรวมตัวกันอีกครั้งที่ “พระพรหมเทวาลัย” จ.สิงห์บุรี ตั้งอยู่ริมถนนสายเอเชียขาขึ้น มีพระพรหมองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยประดิษฐานอยู่ หลังจากกราบขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลกันเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้าต่อไป มื้อเที่ยงแวะรับประทานอาหารที่ “ร้านครัวเห็ดโคน” จ.กำแพงเพชร อร่อยกับรสชาติแบบบ้าน ๆ ก่อนจะขับชมวิวเพลิน ๆ ไปจนถึงเชียงใหม่ ในช่วงกำลังโพล้เพล้ พักผ่อนที่ “ทัช สตาร์ รีสอร์ต” รีสอร์ตน้ำแร่ธรรมชาติเชิงดอยอินทนนท์ นอกจากจะมีบ่อน้ำแร่ให้ลงไปแช่แล้ว น้ำที่ที่ใช้อาบในห้องน้ำก็เป็นน้ำแร่ คาดว่าจะเป็นที่พักอีกแห่งที่มีกิมมิคน่าสนใจ เพราะได้ลองอาบน้ำแร่แล้วรู้สึกสดชื่น แม้อากาศจะหนาวก็อยากจะอาบนาน ๆ หมายเหตุว่ามีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะ
Day 2 ชมหมอกยามเช้า ดอกไม้เมืองหนาว ดอยอินทนนท์
เช้าตรู่ของวันใหม่ออกเดินทางขึ้นสู่ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทย เหนือระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร ระยะทางคดเคี้ยวขึ้นเขาใช้เวลาราว 50 นาที ถึงจุดชมวิวยอดดอยมีหมอกปกคลุมไปทั่ว แม้จะเป็นหมอกบาง ๆ แต่ก็สร้างความหนาวเย็นได้อย่างสมใจ
เมื่อฟ้าเริ่มสางเดินทางไปที่ “สถานีรายงาน ดอยอินทนนท์” จุดสูงสุดของแผ่นดินสยาม ป้ายระบุว่า วันนี้อุณหภูมิยาวเช้าหลังแดดออกแล้วยังอยู่ที่ราว 7 องศา ปัจจุบันมีการก่อสร้างจุดชมวิวบริเวณหอพระ ประดิษฐาน “พระพุทธศาสดาประชานาถ” อันมีความหมายว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดา ผู้เป็นที่พึ่งของประชาชน สร้างขึ้นในโอกาสครบ 100 ปีการทิวงคตพระบิดาแห่งกองทัพอากาศ
จากนั้นแวะไปชมความงดงามของ “พระตำหนักดอยผาตั้ง” เสียดายว่ามาไวไปหน่อย ช่วงนี้ดอกนางพญาเสือโคร่งยังไม่ทันบาน ได้เห็นแค่กิ่งก้านของต้นไม้ที่เรียงรายอย่างสวยงาม ท่ามกลางบรรยากาศสายลมเย็น เพียงเท่านี้ก็ชื่นใจ
มื้อเที่ยงวันนี้ไปอิ่มอกอิ่มใจกันที่ “โครงการหลวงดอยอินทนนท์” ที่ซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด โดยเฉพาะพันธุ์ไม้เมืองหนาวที่กำลังผลิดอกออกผลในเวลานี้ และที่เป็นไฮไลต์ก็คือ “ต้นเมเปิล” ที่กำลังขับสีสันแดงสดไปทั้งต้น ใกล้ ๆ กันก็มีแปลงนางพญาเสือโคร่งต้นเล็ก ๆ กระจุ๋มกระจิ๋ม กำลังชูช่อดอกสวยงาม ทำให้หัวใจพองโตด้วยความสดใส เจ้าซากูระเมืองไทยที่หลายคนเฝ้ารอคอย ช่วงกลางเดือนมกราคม 2565 คาดว่าหลาย ๆ จุดบนดอยอินทนนท์ก็จะพร้อมอวดโฉม
บนดอยอินทนนท์ยังมีที่เที่ยวอีกเยอะมาก บ่ายนี้แวะไปที่ “โครงการอนุรักษ์พันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารีอินทนนท์” อีกจุดสำหรับชมนางพญาเสือโคร่ง น่าเสียดายที่เจ้าหน้าที่แจ้วว่าต้นเดือนเพิ่งบานแล้วโรยราไปตามสภาพอากาศ แต่ภายในยังมีดอกกล้วยไม้งาม ๆ ให้เดินชมกันเพลิน ๆ มีร้านกาแฟ และจุดชมวิวสวย ๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนสดชื่น
DAY 3 ส่งน้ำใจไปขุนแจ กราบพระวัดนันตาราม
จากเชียงใหม่ มุ่งไปเชียงราย กับอีกกิจกรรมดี ๆ ที่ “อุทยานแห่งชาติขุนแจ” จ.เชียงราย เป็นถนนอีกสายที่ใครชอบขับรถเที่ยวต้องไม่พลาด ทริปนี้คาราวาน C2 Connect Plus ตั้งใจมาร่วมส่งมอบเครื่องเป่าใบไม้ทำแนวกันไฟและเครื่องกรองน้ำดื่มชนิดพกพาให้กับเจ้าหน้าที่ชุดลาดตระเวนอุทยานแห่งชาติขุนแจ และถือโอกาสรับประทานอาหารกันที่นี่ โดยมีเมนูท้องถิ่นอย่าง น้ำเงี้ยว แกงฮังเล เป็นมื้อเที่ยงท่ามกลางบรรยากาศที่แสนลงตัว
จากนั้นมุ่งหน้าสู่ จ.พะเยา เป้าหมายคือการเดินทางไปกราบพระ “วัดนันตาราม” ศิลปะล้านนาตะวันออก อ.เชียงคำ จ.พะเยา แม้จะขับกันยาวหน่อย แต่เส้นทางนี้ก็เพลิดเพลินสายตาไม่น้อย โดยเฉพาะบริเวณจุดชมวิวกว๊านพะเยา ซึ่งเป็นจุดพักรถ จิบกาแฟ ชมวิว และอุดหนุนผลิตผลจากชาวบ้าน
เมื่อไปถึงวัดนันตาราม อ.เชียงคำ จ.พะเยา ทุกสายตาก็จดจ้องกับความงดงามของสถาปัตยกรรมที่แปลกตา วิหารไม้ที่มีความวิจิตรบรรจงทรงมนต์ขลังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังคาหน้าจั่วที่ยกเป็นช่อชั้นลดหลั่นกันสวยงาม ที่พิเศษไม่เหมือนที่ไหน จะเรียกว่า Amazing ก็ไม่เกินไป จากพระพุทธรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายใน เป็นฝีมือช่างโบราณที่แกะสลักจากไม้ แอบซ่อนลูกเล่นไว้ให้ผู้คนได้ค้นหา โดยจะมีรูปเทพคิวปิด หรือ กามเทพตัวน้อย แฝงอยู่ในผลงาน มองด้วยตาเปล่าอาจจะเห็นได้ยาก หากใครที่ถ่ายรูปโดยใช้เลนส์ซูมก็จะเห็นได้ชัดกว่า เชื่อกันว่าหากมากราบขอพรเรื่องความรักก็มักจะสมหวัง ส่วนที่มาของรูปคิวปิคนี้สันนิษฐานว่าเป็นอิทธิพลจากงานศิลปกรรมอังกฤษ เนื่องจากวัดสร้างขึ้นแบบผสมผสานสถาปัตยกรรมหลายรูปแบบทั้ง ปะโอ , เมียนมา , จีน , อินเดีย , ล้านนา เป็นต้น
DAY 4 อุ่นน้ำใจไม่เคยจาง บ้านปางปูเลาะ
อีกเป้าหมายของคาราวาน C2 Connect Plus นอกเหนือจากการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการท่องเที่ยวข้ามภาคแล้ว ยังรวมตัวกันเพื่อส่งมอบน้ำใจไปสู่พี่น้องในชุมชนห่างไกล อย่างทริปนี้ หลังจากชื่นชมยามเช้าที่กว๊านพะเยากันอย่างเต็มที่ คาราวานก็มุ่ง บ้านปางปูเลาะ-บ้านผาแดง อ.แม่ใจ จ.พะเยา ที่อยู่อาศัยของชาวเมี่ยนหรือชาวเย้าที่เดินทางมาจากเมืองจีน มีอาชีพหลักในการทำสวนผลไม้และการปลูกกาแฟ ด้วยทำเลสวย ๆ บนเนินเขา จึงทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นที่ต้องตาต้องใจผู้ได้มาพบเห็น และที่น่ารักมากคือสภาพของความเป็นอยู่ที่ยังคงแบบดั้งเดิมอยู่มาก มีที่พักแบบโฮมสเตย์อยู่บ้าง ร้านกาแฟวิวสวย 2-3แห่ง นอกนั้นคือวิถีของชาวไทยภูเขาอันเรียบง่าย
วันนี้ทาง ททท. GWM และนักเดินทาง ตั้งใจจัดกิจกรรม “เติมพลังใจเพิ่มพลังให้ชุมชน” มอบทุนการศึกษา ผ้าห่ม เสื้อกันหนาว ให้กับชาวดอยชุมชนปางปูเลาะ บางท่านนำตุ๊กตามาฝาก เห็นเด็ก ๆ รับแล้วไปกอดไว้ ก็ชื่นใจทั้งคนรับและคนให้
ก่อนจะล่องลากลับสู่ภาคกลาง ชาวคณะเดินทางไปรับประทานอาหารกลางวันที่ “ไร่ภูกลองฮิลล์” เดินเล่นชมสวนดอกไม้ เก็บองุ่นไปเป็นของฝาก นับเป็นทริปที่เปี่ยมสุข ขับรถเที่ยวเพลิน เจริญอาหารตา อาหารใจ ได้ชาร์จพลังแห่งความดีงามกลับไปทุกคน