หยุด "ธาลัสซีเมีย" เทคนิคตรวจพันธุกรรมตัวอ่อน

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

หยุด


ด้วยโรคธาลัสซีเมียเป็นโรคโลหิตจางที่เกิดมาจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจากคุณพ่อและคุณแม่ ที่เป็นพาหะสู่ลูก พบได้บ่อยถึงร้อยละ 10 ในประชากรไทย และพบว่าประชากรไทยเป็นพาหะของโรคนี้สูงถึงร้อยละ 40 ของประชากรในประเทศ หรือมีความเสี่ยงที่จะเป็นพาหะธาลัสซีเมียได้ถึง 1 ใน 3 โดยโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะได้รับการรักษาให้หายขาด มีเพียงการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดที่ปลอดจากโรคธาลัสซีเมีย และมีเนื้อ เยื่อที่เข้ากันได้เท่านั้น
นายแพทย์สมเจตน์ มณีปาลวิรัตน์ ผู้อำนวยการแพทย์และสูตินรีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์การมีบุตรยาก ศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. เปิดเผยว่า โดยเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคโดยทั่วไปมีความเป็นไปได้เพียง 1 ต่อ 50,000 ราย จึงนับว่าเป็นเรื่องยาก มาก แต่ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทีม งานผู้เชี่ยวชาญของศูนย์ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ได้ทำการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อน Preim plantation Genetic Diagnosis โดยการใช้เทคนิค Polymerase Chain Reaction สำหรับการตรวจภาวะของโรคธาลัสซีเมีย ในตัวอ่อนร่วมกับการตรวจความเข้ากันได้ ของเนื้อเยื่อระหว่างพี่ และน้อง เพื่อทำการคัดกรองตัวอ่อนที่ปราศจากโรคธาลัสซีเมีย และทำการตรวจจับคู่เนื้อเยื่อที่ตรงกัน
หลังจากนั้นจึงได้นำเซลล์ต้นกำเนิด ที่ปลอดโรคธาลัสซีเมียที่ได้จากน้องแรกเกิดไปใช้รักษาพี่ที่ป่วยเป็นโรคด้วยการปลูกถ่าย โดยล่าสุดพี่ผู้ป่วยสามารถหายจากโรคธาลัสซีเมียได้อย่างสมบูรณ์แล้ว ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในครั้งนี้จึงถือเป็นความสำเร็จครั้งแรกในเอเชียที่สามารถรักษาผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมียด้วยเซลล์ต้นกำเนิดที่ได้จากเทคนิค PGD-PCR ร่วมกับ HLA Matching โดยไม่ต้องรอเซลล์ ต้นกำเนิดจากผู้บริจาค
ขณะที่รศ.นพ.ปรีดา วาณิชยเศรษฐกุล กุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดและไขกระดูก กล่าวว่า การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดโลหิต คือการเปลี่ยนหรือแทนที่สเต็มเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติด้วยสเต็มเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ โดยจะต้องมีการให้ยาแก่ผู้ป่วยเพื่อทำลายสเต็มเซลล์โรคธาลัสซีเมียให้หมดไป และเตรียมสภาพให้เกิดที่ว่างในไขกระดูกผู้ป่วย เพื่อให้สเต็ม เซลล์ที่ปกติมีพื้นที่ที่จะเจริญเติบโต อีกทั้ง เพื่อกดภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยไม่ให้ต่อต้านสเต็มเซลล์ของทารกผู้บริจาค
จากนั้นจะเข้าสู่ระยะของการปลูกถ่ายโดยการให้สเต็มเซลล์จากเลือดสายสะดือทารกผู้บริจาค เข้าไปในตัวผู้ป่วยผ่านทางสายสวนเส้นเลือดดำใหญ่ ด้วยวิธีการคล้ายคลึงกับการให้เลือด แต่ต้องติดตามอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ไม่จำ เป็นต้องฉีดโดยตรงเข้าไปในไขกระดูกของผู้ป่วย เพราะสเต็มเซลล์นั้นจะไหลเวียนในกระแสเลือดผู้ป่วย และเข้าไป อยู่ในไขกระดูกได้เอง จากนั้นจึงจะเริ่มเจริญเติบโตต่อไป หลังจากผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายเลือดสายสะดือ ต้องใช้เวลานาน 2 ถึง 3 สัปดาห์กว่าที่สเต็มเซลล์ใหม่จะเริ่มปลูกติด เมื่อการปลูกถ่ายเลือดสายสะดือประสบความสำเร็จ ผู้ป่วยก็จะหายขาดจากภาวะซีด เรื้อ รังของโรคธาลัสซีเมีย ไม่ต้องได้รับเลือด ทดแทนอีกต่อไป กลับมาเป็นเด็กปกติสุขภาพดี



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ