Toggle navigation
วันจันทร์ ที่ 9 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
สุขภาพ & ความงาม
"แองเจลิน่า" จุดประกายหญิงทั่วโลก "ตัดเต้าทิ้ง" ลดเสี่ยงมะเร็ง
"แองเจลิน่า" จุดประกายหญิงทั่วโลก "ตัดเต้าทิ้ง" ลดเสี่ยงมะเร็ง
วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
Tweet
จากประเด็นฮือฮาของการตัดสินใจผ่าตัดเต้านมออกทั้ง 2 ข้างของนักแสดงหญิงชื่อดังของฮอลลีวูด วัย 37 ปี อย่าง แองเจลิน่า โจลี่ ที่ผ่านมาไม่นานนี้ เพื่อลดโอกาสเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งเต้านม เนื่องจากคณะแพทย์ตรวจพบว่า เธอมียีน บีอาร์ซีเอ 1 ซึ่งเป็นยีนผิดปกติ ทำให้เธอมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมถึง 87% และโรคมะเร็งรังไข่ 50% ทางที่ดีควรเข้ารับการผ่าตัดก่อนอายุ 40 ปี เพื่อ ลดโอกาสที่เธออาจจะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเช่นเดียวกับคุณแม่ของเธอ
ซึ่งข่าวดังกล่าวนับเป็นเรื่องที่ "ช็อก" ความรู้สึกผู้คนมากมาย โดยเฉพาะเหล่าบรรดาหญิงสาวเกือบทั่วทุกมุมโลกที่อาจจะรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในสภาวะกลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมอย่างเช่นโจลี่ จึงทำให้อาจจะมีหลายคนสงสัยว่ากรณีอย่างดาราสาวชื่อดังนี้ จำเป็นต้องทำให้เหล่าบรรดาสุภาพสตรีทั้งหลายต้องรีบเร่งไปตรวจหายีนกลายพันธุ์มะเร็งดังกล่าวอย่างเธอหรือไม่
โดย น.พ.กริช โพธิสุวรรณ ผู้อำนวยการ ศูนย์ เต้านมกรุงเทพ ร.พ.วัฒโนสถ ร.พ.รักษาด้านโรคมะเร็ง ร.พ.กรุงเทพ กล่าวว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงในประเทศ ทางตะวันตก ไม่ว่าจะเป็นในยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับในประเทศไทยพบว่ามะเร็งเต้านมยังเป็นมะเร็งที่เป็นอันดับสอง รองจากมะเร็งปากมดลูก แต่ขณะนี้มีแนวโน้มว่าผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งเต้านมเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่เป็นมะเร็งปากมดลูกลดลง ถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ก็อาจ จะยังไม่สามารถอธิบายได้ชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดเนื่องจากพฤติกรรมบางอย่างของผู้หญิงไทยในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมเมืองที่มีพฤติกรรม และสภาพแวดล้อมคล้ายชาวตะวันตกมากขึ้น ประกอบกับมีการตรวจ ควบคุม และรักษามะเร็งปากมดลูกได้อย่างมีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำให้มะเร็งปากมดลูกกลับมีจำนวนน้อยลง ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมด้วยกันทั้งสิ้น แต่ผู้หญิงที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้จะมีโอกาสเสี่ยงสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป
ทั้งนี้ สำหรับในกรณีอย่างดาราสาวแองเจลิน่า โจลี่ ที่ได้เป็นข่าวโด่งดังในช่วงที่ผ่านมาในการตัดสินใจผ่าตัดเต้านมทิ้ง เนื่องจากตรวจพบยีนที่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งเต้านมอย่างเช่นแม่ของเธอ คือ ยีน บีอาร์ซีเอ 1 เป็นยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ถ้ามีการถ่ายทอดจากแม่สู่ลูก อาจทำให้คนที่มียีนดังกล่าวเกิดมะเร็งได้ ดังนั้นในฐานะที่เธอเป็นคนมีชื่อเสียง และมีเงินจึงสามารถไปเจาะตรวจยีนตัวนี้ได้ และพบความเสี่ยงสูงจึงทำให้เธอตัดสินใจทำการผ่าตัด เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเป็นมะเร็งในอนาคต
"สำหรับคนทั่วไปถ้าไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างแองเจลิน่า ที่เจาะตรวจและพบยีนดังกล่าวก็อาจจะไม่ต้องผ่าตัด แต่อาจจะตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นวิธีที่ส่วนใหญ่ที่คนเขาทำกัน แต่หมอมองว่าบังเอิญแองเจลิน่าที่ตัดสินใจผ่าตัดเต้านมออกเลยนั้น เนื่องจากเธออาจจะมีลูกหลายคน ที่ต้องเลี้ยงดู จึงไม่อยากจะเสี่ยงที่จะรอให้เกิดมะเร็งก่อนแล้วค่อยมารักษา ซึ่งการรักษาอาจจะไม่ทำให้เธอหาย 100% เธอเลยตัดปัญหาไปเลยให้มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมน้อยที่สุด โดยการตัดเต้านมไปทั้งสองข้างแต่วิธีนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันมะเร็งเต้านมได้ผล 100% เพราะการผ่าตัดไม่สามารถจะผ่าตัดเนื้อเต้านมได้ทั้งออกหมด อาจจะต้องมีหลงเหลือเซลล์อยู่บ้าง แต่ทางที่เขาจะเหลือเป็นมะเร็งเต้านมเหลือแค่ 5% จาก 85% เธอก็เลยยอมเสี่ยง"
คุณหมอบอกต่อว่า ถ้าพูดถึงสำหรับกรณีดังกล่าวในคนไข้ประเทศไทยเรานั้นเรามีการตรวจพบอยู่บ้างแต่ไม่มากนัก เพราะอัตราการเกิดมะเร็งเต้านมแบบยีนดังกล่าวน้อยกว่าที่อเมริกา เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเป็นน้อยกว่า ดังนั้น คนไทยที่อยากจะเจาะหายีนบีอาร์ซีเอ 1 เหมือนกรณี โจลี นั้นจะต้องมีประวัติคนในครอบครัว อย่างคุณแม่ พี่น้องสายเลือดเดียวกันเคยเป็นมะเร็งเต้านม แต่ถ้าไม่มีลักษณะแบบนี้ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปตรวจ เพราะอาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ที่จะไปเจาะถ้าไม่ได้มีสายเลือดเป็นยีนนี้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการไปเจาะตรวจค่อนข้างสูงมาก ประมาณไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นบาท
"ปกติแล้วคุณหมอจะมีการแนะนำให้คนไข้คนไทยที่มีเคสเหมือนแองเจลิน่า คือถ้ามีญาติพี่น้อง หรือแม่เป็น และไปเจาะและพบยีนดังกล่าว ก็จะแนะนำให้เลือก 2 วิธี คือ ผ่าตัดเต้านมออกไปเลยเหมือนแองเจลิน่าเพื่อตัดปัญหาความเสี่ยง อีกทั้งเป็นกรณีของคนที่ไม่อยากเสียเวลามาตรวจทุก 6 เดือน เพราะหลังจากผ่าตัดไปแล้วอาจจะแค่มาตรวจปีละครั้งเท่านั้น และวิธีที่สอง ก็อย่างที่เราทราบกันคือ การแนะนำให้คนไข้เฝ้าติดตาม คัดกรอง เข้าแมมโมแกรม อัลตราซาวด์ อย่างใกล้ชิด ว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ถ้ามีก็จะได้จัดการตั้งแต่เนิ่นๆ แบบนี้ก็ จะมีสิทธิ์หาย 100% เพราะฉะนั้นเราเองก็ยังสนับสนุนให้คนไข้มาตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมเป็นประจำเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด"
และล่าสุด ทางด้าน ผศ.นพ.วิโรจน์ ศรีอุฬารพงศ์ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมะเร็งวิทยา และผู้อำนวยการ ศูนย์วิจัยทางคลินิกคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาพูดถึงมะเร็งเต้านมระยะลุกลามกับความหวังในการรักษาในประเทศไทยว่า ในประเทศที่พัฒนาแล้วพบว่าประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมระยะแรกจะพัฒนาไปเป็นมะเร็งเต้านมระยะลุกลามในที่สุด ซึ่งในปัจจุบันมะเร็งเต้านมระยะลุกลามยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แนวทางการดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้แพทย์จะรักษาผู้ป่วยโดยยับยั้งการลุกลามของโรคให้ช้าลง เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิต ที่ยาวนานและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การรักษามะเร็งเต้านมระยะลุกลามนั้น ส่วนใหญ่เป็นการให้ยาฉีดหรือยา รับประทานที่จะไปทั่วร่างกาย ยาที่ใช้ก็มีหลายกลุ่ม ได้แก่ ยา ต้านฮอร์โมน ยาเคมีบำบัด และยาในกลุ่ม Targeted Therapy หรือยามุ่งเป้า ซึ่งออกฤทธิ์โดยตรงที่เซลล์มะเร็ง การเลือกการรักษาที่เหมาะสมยังขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างของผู้ป่วยเอง เช่น ผู้ป่วยอยู่ในวัยหมดประจำเดือนแล้วหรือไม่ การตรวจพบตัวรับสัญญาณที่เซลล์มะเร็ง ได้แก่ ตัวรับฮอร์โมน และตัวรับเฮอร์ทู
"การศึกษาในประเทศไทย ที่มีรายงานผลการตรวจหาตัวรับฮอร์โมนในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทุกระยะ พบว่าประมาณ 58% ของผู้ป่วย ตรวจพบตัวรับฮอร์โมน หรือเรียกว่ามีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการรักษาหลักสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้คือการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม การรักษาผู้ป่วยแต่ละรายก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจ ของแพทย์และการตัดสินใจของผู้ป่วยเช่นกัน"
ปิดท้ายที่ ทางด้าน น.พ.คาร์ลอส บาร์ริออส PUCRS School of Medicine ประเทศบราซิล กล่าวว่า ถึงแม้การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนยังคงเป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวกก็ยังมีผู้ป่วยประมาณ 50% ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาตั้งแต่แรก และ ณ เวลาหนึ่งผู้ป่วยเกือบทั้งหมดที่เคยตอบสนองต่อการรักษาจะเกิดการดื้อยา เนื่องจากเซลล์มะเร็งพยายามสร้างกลไกที่ปกป้องตัวเองให้มีชีวิตรอด เจริญเติบโต และแพร่กระจายทำให้ผู้ป่วยเกิดการกลับเป็นซ้ำ หรือมะเร็งเต้านมเกิดการลุกลาม ถึงแม้จะมีการศึกษาวิจัยในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม วัยหมดประจำเดือน ที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก และตัวรับเฮอร์ทูเป็นลบ หลังเกิดการดื้อต่อยาต้านฮอร์โมน
"ดังนั้น การพัฒนาการรักษาใหม่ๆ จึงมีความจำเป็นมาก และเมื่อเร็วๆ นี้ได้มีการพัฒนาการรักษาด้วยยา กลุ่มใหม่ที่สามารถยับยั้งกลไกที่ทำให้เซลล์มะเร็งดื้อต่อยาต้านฮอร์โมน สำหรับผู้ป่วยที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก และตัวรับเฮอร์ทูเป็นลบโดยงานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า การรักษาด้วยยากลุ่มใหม่นี้ร่วมกับยาต้านฮอร์โมนสามารถเพิ่มระยะเวลาที่ผู้ป่วยมีการตอบสนองต่อการรักษาและมีชีวิตอยู่โดยปราศจากโรคได้นานขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับการรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนเดี่ยวๆ ซึ่งการพัฒนาการรักษาด้วยยากลุ่มใหม่นี้ถือเป็นความก้าวหน้าและเป็นความหวังในการรักษาผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะลุกลาม" น.พ.คาร์ลอส ระบุ
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ