ไวรัสตับอักเสบบีภัยร้ายมะเร็งตับ

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ไวรัสตับอักเสบบีภัยร้ายมะเร็งตับ


หลายท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบบี แต่มักไม่ทราบว่าจริงๆ แล้วไวรัสตับอักเสบบีมีความสำคัญอย่างไร และก่อให้เกิดโรคอะไรได้บ้าง ไวรัสตับอักเสบบีเป็นสาเหตุที่สำคัญของโรคตับอักเสบและตับแข็ง แม้แต่ในผู้ที่ไม่ได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับ การแสดงอาการของไวรัสตับอักเสบบีมีหลายระยะ ทั้งที่เป็นพาหะซึ่งไม่แสดงอาการใดๆ เลย เป็นตับอักเสบระยะเฉียบพลัน ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง ตับวาย และท้ายที่สุด คือ มะเร็งตับ โดยผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีทุกราย แม้ในระยะที่เป็นพาหะก็มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับมากกว่าคนทั่วไป
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีมักไม่มีอาการ หรืออาจมีอาการที่ไม่จำเพาะ เช่น มีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน เมื่อโรคตับเป็นมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการ ตัวเหลือง ตาเหลือง ท้องโต ขาบวม อาเจียนเป็นเลือด แต่จะทราบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือไม่ โดยการเจาะเลือดตรวจเท่านั้น ดังนั้น ปัจจุบันโรงพยาบาลหลายแห่งจึงบรรจุการตรวจการทำงานของตับ หรือตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีไว้ในโปรแกรมการตรวจสุขภาพด้วย
ปกติไวรัสตับอักเสบบีติดต่อกันได้ 3 ทาง คือ ติดต่อจากมารดาสู่ทารกในครรภ์ ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และติดต่อจากการสัมผัสเลือดและผลิตพันธ์ของเลือด เช่น น้ำเหลือง เป็นต้น
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีในประเทศไทยส่วนใหญ่จะได้รับเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็ก โดยได้รับมาจากมารดาที่เป็นพาหะ การติดเชื้อตั้งแต่ในวัยเด็กขณะที่ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ จะทำให้เป็นการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีแบบเรื้อรัง และมักไม่แสดงอาการ การติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่ มักเป็นแบบเฉียบพลัน ซึ่งเกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายพยายามทำลายเชื้อไวรัส แต่ส่วนใหญ่ของผู้ที่ติดเชื้อในวัยผู้ใหญ่ร่างกายมักสามารถกำจัดเชื้อไปได้เอง
ผู้ที่ควรได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ได้แก่ ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการรับเชื้อ เช่น มีสามีหรือภรรยาหรือญาติพี่น้องในครอบครัวเป็นไวรัสตับอักเสบบี หญิงมีครรภ์ ผู้ที่มีผลเลือดเป็นตับอักเสบเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ และ ผู้ป่วยที่มีอาการดังต่อไปนี้ เช่น มีอาการอ่อนเพลีย ตัวเหลืองตาเหลือง อุจจาระเป็นสีดำ หรืออาเจียนเป็นเลือดที่สงสัยว่าเกิดจากโรคตับแข็ง เป็นต้น สำหรับประเทศไทยซึ่งมีความชุกของโรคไวรัสตับอักเสบบีสูง แนะนำว่าควรตรวจหาการติดเชื้อทุกคน แม้ว่าจะไม่มีอาการ เพราะการตรวจเลือดเพียงครั้งเดียว สามารถบอกได้ว่าติดเชื้อไวรัสนี้หรือไม่
ในอดีตไวรัสตับอักเสบบีไม่มียารักษาที่ได้ผลดี แต่ปัจจุบันวงการแพทย์ได้มีการคิดค้นและพัฒนายาต้านไวรัสเพื่อรักษาโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจึงควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่าควรได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ สำหรับผู้ที่อยู่ในระยะพาหะอาจยังไม่ต้องรักษาด้วยยาต้านไวรัส ทั้งนี้ ไม่ว่าจะได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสหรือไม่ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีควรได้รับการตรวจคัดกรองเพื่อหามะเร็งตับระยะเริ่มต้น ด้วยการตรวจเลือด และทำอัลตร้าซาวด์ตับเป็นระยะๆ ทุก 6 เดือน
อย่างไรก็ตาม ไวรัสตับอักเสบบีสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ทั้งหมด 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 และ เข็มที่ 3 ห่างจากการฉีดเข็มแรก 1 เดือน และ 6 เดือน ตามลำดับ



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ