Toggle navigation
วันอาทิตย์ ที่ 8 มิถุนายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
สุขภาพ & ความงาม
4 สมุนไพรใกล้ชิดต้านพิษโลหะหนัก
4 สมุนไพรใกล้ชิดต้านพิษโลหะหนัก
วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
Tweet
เนื่องจากโลหะหนักเหล่านี้อยู่ในสิ่ง ของเครื่องใช้ใกล้ตัว ด้วยกระบวนการผลิต และกำจัดที่ไม่ถูกต้องจะทำให้สารโลหะปน เปื้อนลงในสิ่งแวดล้อมและอาจเข้าสู่ร่างกาย ทั้งจากการสูดดม รับประทานหรือสัมผัสได้
โลหะหนักเหล่านี้จะเข้าไปเปลี่ยน แปลงโครงสร้างและการทำงานของเซลล์ ทำให้เซลล์ตายจนถึงเกิดความผิดปกติทาง พันธุกรรม ซึ่งเป็นสาเหตุของการก่อมะเร็ง หากได้รับทีละน้อยจะสะสมอยู่ในร่างกาย และทำให้เกิดความผิดปกติของระบบต่างๆ
ความรุนแรงของพิษโลหะหนักในแต่ละอวัยวะนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของโลหะหนัก ปริมาณที่ได้รับ ช่องทางที่เข้าสู่ร่าง กาย รวมถึงปัจจัยทางร่างกายของผู้ได้รับ โลหะหนักที่ตรวจพบได้บ่อยและมีอันตราย ต่อสิ่งมีชีวิตสูง ได้แก่ ปรอท ตะกั่วและแคดเมียม
ปรอท (Mercury) มักพบพนเปื้อนอยู่ในอากาศ น้ำ ดิน ของโรงงานอุตสาห-กรรม ที่มีปรอทเป็นวัตถุดิบ รวมถึงพบในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน เช่น ครีมหน้าขาวรวมถึงอาหาร
ปรอทจะเข้าสู่ร่างกายได้โดยการหายใจ การรับประทาน การสัมผัส โดยสามารถ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายและกระจายไปอวัยวะต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
ในทางตรงข้าม ปรอทถูกขับออกจาก ร่างกายได้น้อยมากและยังเป็นตัวการสำคัญที่เข้าไปทำลายเนื้อเยื่อสมองและส่วนควบคุมการมองเห็น
ที่ผ่านมามีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดจากพิษของปรอท คือ เหตุการณ์ที่เมืองมินามาตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยชาวเมืองได้กิน ปลาที่มีสารปรอทปนเปื้อนในปริมาณสูง ทำ ให้มีอาการสั่น ชัก ปวดปลายมือปลายเท้า หงุดหงิด เหงือกบวมและมีเส้นทึบสีน้ำเงิน เลือดออกง่ายและเกิดภาวะเลือดจาง ต่อมาจึงได้มีการนำชื่อเมืองนี้มาตั้งเป็นชื่อโรคที่เกิดจากสารปรอท
ตะกั่ว (Lead) ผู้ที่มีความเสี่ยงจากการได้รับพิษตะกั่ว คือ คนงานเหมืองตะกั่ว โรงงานแบตเตอรี่ โรงงานชิ้นส่วนอิเล็ก-ทรอนิกส์ และคอมพิวเตอร์
พิษของตะกั่วมีผลต่อระบบประสาท ตับ ไต หัวใจและทางเดินอาหาร ทำให้สมอง เสื่อมจากพิษตะกั่ว ปวดกล้ามเนื้อ อัมพาต สารตะกั่วจะไปสะสมที่สมองส่วนฮิปโพแคม ปัส (hippocampus) ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยว ข้องกับการเรียนรู้และความจำ
เด็กจะสามารถดูดซึมพิษของตะกั่วได้มากกว่าผู้ใหญ่และหากได้รับพิษเป็นเวลา นานจะมีผลทำให้พัฒนาการทางสมองช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันส่งผลให้สมองสูญเสียความสามารถอย่างถาวร
แคดเมียม (Cadmium) มักพบในแหล่งทำเหมือง อุตสาหกรรมยาสูบ บุหรี่ พลาสติก ยาง โดยปนเปื้อนในอาหาร น้ำและอากาศ เมื่อร่างกายได้รับจะดูดซึมเข้า สู่ทางเดินอาหารและแพร่กระจายไปที่ตับ ม้ามและลำไส้ เมื่อสะสมในปริมาณมากจะทำให้เกิดมะเร็งและหากได้รับเป็นเวลานานจะเกิดการอุดตันภายในปอด หลอดลม อักเสบ ถุงลมโป่งพอง ซึ่งโรคที่เกิดจากพิษ ของแคดเมียม เรียกว่า โรคอิไต-อิไต
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยา อภัยภูเบศร กล่าวว่า ทางการแพทย์แผนไทยมีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถมาใช้ในการต้านพิษโลหะหนักได้ อาทิ
รางจืด หมอยาพื้นบ้านใช้ในการแก้พิษยาเบื่อ ยาสั่ง ยาฆ่าแมลง พืชพิษ เห็ดพิษ สุราและยาเสพติด รวมทั้ง พิษงู แมลง ป่อง ตะขาบ
โดยวิธีใช้ในผู้ที่ได้รับพิษรุนแรง ใช้กินใบเพสลาด หรือใบที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกิน ไป จำนวน 10-12 ใบ ตำคั้นกับน้ำซาวข้าวหรือรากสดที่อายุ 2 ปีขึ้นไป เพียง 1 ราก โขลกหรือฝน กับน้ำซาวข้าวจนขุ่นข้นประมาณครึ่งแก้ว-1 แก้ว ดื่มเฉพาะน้ำให้หมดทันทีที่มีอาการ
อาจใช้รางจืดแห้ง 300 กรัม ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มน้ำดื่มครั้งละ 1 แก้ว โดยให้ดื่มขณะ อุ่นจะได้ผลดี หรือนำใบหรือ รากมาหั่นฝอย ผึ่งลมให้แห้ง บดเป็นผงทำเป็นเม็ดลูกกลอน กินครั้งละ 5 กรัม โดย ให้กินทุกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หรือ 2 ชั่วโมง จนกว่าอาการจะหายเป็นปกติ
มีรายงานการวิจัยพบว่าสารสกัดใบรางจืดสามารถลดพิษที่เกิดจากสารตะกั่ว ซึ่งส่งผลต่อความจำและการเรียนรู้ของหนูทดลอง ลดการตายของเซลล์ประสาทโดยผ่านกลไกต้านออกซิเดชั่นและรักษาระดับเอนไซม์ caspase-3 ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว โดยไม่มีผลลดระดับ สารตะกั่วในเลือดและที่สมอง ขมิ้นชัน ขมิ้นชันนั้นอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารเคอร์คูมิน (curcumin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ และการเกิดพิษจากโลหะหนักหลายชนิดที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกลไกต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว
จากการศึกษาพบว่า ขมิ้นชัน ดีกับระบบการป้องกันพิษของแคดเมียมต่อลำไส้ ป้องกันพิษตะกั่วและแคดเมียมต่อสมอง พิษ ของแคดเมียมต่อไต โดยสารเคอร์คูมินมีผล ลดการทำลายโครงสร้างเนื้อเยื่อบริเวณผนังลำไส้และรักษาสมดุลของการหลั่งเมือกในลำไส้ ดังนั้น ผู้ที่อยู่ภายใต้สภาพมลภาวะควรหาขมิ้นกินให้ได้ทุกวัน ครั้งละ 1 ช้อนชา วันละครั้ง
กระเทียม มีรายงานการศึกษาพบว่า การทดลองกระเทียมมีฤทธิ์ป้องกันและรักษาแคดเมียมและตะกั่วไม่ให้ไปมีผลต่อไต และอวัยวะต่างๆ ของหนูทดลองและช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันในหนูที่ มีระดับภูมิคุ้มกันต่ำหลังจากที่ได้รับตะกั่วและแคดเมียม ดังนั้น เราจึงควรรับประ- ทานกระเทียม อย่างน้อยวันละ 7-8 กลีบ
มะขามป้อม มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ รายงานการวิจัยพบว่า ผลมะขามป้อมบด มีผลลดการเกิดพิษ ของตะกั่วต่อตับและไตในหนูทดลองได้ นอก จากนี้ มะขามป้อมยังป้องกันการเกิดสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการได้รับปรอท ดังนั้น การรับประทานมะขามป้อมเป็นประจำ วันทุกวันนั้นเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่อยู่กับมลพิษ
"สมุนไพรทั้ง 4 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนี้ เป็นเพียงตัวอย่างของสมุนไพรที่เราคุ้นเคย ซึ่งสามารถหาง่ายและรับประทานได้ง่าย เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ สภาวะแวดล้อมรอบตัวทั้งคนเมือง และต่างจังหวัดเต็มไปด้วยมลพิษจากโลหะหนัก" ภญ.ดร.สุภาภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ