ปรับสมดุล ธาตุทั้ง 3 แก้ไขจุดอ่อน...ปลอดโรคภัย

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

ปรับสมดุล ธาตุทั้ง 3 แก้ไขจุดอ่อน...ปลอดโรคภัย


ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทยร่างกายมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปตามอายุขัย แบ่งเป็น 3 ช่วงวัย คือ ปฐมวัยอายุ 0-16 ปี มัชฌิมวัยอายุ 16-32 ปี และปัจฉิมวัยอายุ 32 ปีขึ้นไป ซึ่งสอดคล้องกับการแพทย์แผนปัจจุบันที่ยอมรับว่าความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเริ่มเสื่อมเมื่ออายุเกิน 30 ปี ดังนั้นจึงควรดูแลสุขภาพเสียตั้งแต่ย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย คือ เริ่มตั้งแต่ 32 ปีขึ้นไป
วิธี "การกินเพื่อการแก้ไขจุดอ่อน" เป็นแนวทางการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทั้งการกิน การออกกำลังกายที่เหมาะสม การพักผ่อนที่เพียงพอ สำหรับผู้ที่มักประสบกับปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินนิดๆ หน่อยๆ ก็อ้วน
ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้า พระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า "การกินเพื่อการแก้ไขจุดอ่อน" สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลักตามธาตุของแต่ละบุคคล คือ ปิตตะ วาตะ และเสมหะ (กผะ)
+ ผู้ที่มีลักษณะเจ้าเรือนเป็นปิตตะ ซึ่งเกิดจากการรวมกันของธาตุไฟกับธาตุน้ำ จะมีลักษณะรูปร่างสูงปานกลาง กล้ามเนื้อเจริญปานกลาง ผิวนุ่ม อุ่น ผมละเอียดบาง ผมหงอกล้านก่อนวัย
อาการเจ็บป่วยที่พบได้บ่อยๆ ของผู้ที่มีธาตุปิตตะ คือ ไข้ อาการอักเสบร้อนแดงที่ผิวหนัง ติดเชื้อ เจ็บคอ มีแผลในกระเพาะอาหาร เหงื่อมาก ท้องเสีย เลือดออก ดังนั้น การทำให้เย็นจึงเป็นการรักษาโรคและอาการของกลุ่มปิตตะ โดยจะใช้สมุนไพรรส ขม ฝาดและหวาน ซึ่งมีคุณสมบัติเย็น
นอกจากนี้ พื้นฐานของปิตตะ คือ ไฟและน้ำ แต่น้ำอาจลดไฟย่อยอาหารทำให้เบื่ออาหาร ลิ้นเหลือง ปัสสาวะอุจจาระสีเหลือง ลมหายใจเหม็น ปากมีรสขม เปรี้ยว แม้สามารถใช้สมุนไพรรสเผ็ดเพื่อเพิ่มไฟย่อยอาหารได้ แต่รสเผ็ดจะทำให้ปิตตะรุนแรงขึ้นด้วย จึงควรใช้สมุนไพรรสขม ซึ่งช่วยเพิ่มไฟย่อยอาหารโดยไม่ทำให้ปิตตะรุนแรงขึ้น
การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะหรือระบาย ซึ่งเป็นการชำระและล้างเมือกมันในลำไส้ เพื่อให้ลำไส้สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น เมื่อลำไส้ดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้น เมื่อสารอาหารเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว ปริมาณอาหารที่ทานก็จะลดลงด้วย ยาที่ใช้เพื่อการนี้ เช่น ตรีผลา มะขามแขก ชุมเห็ดเทศ
ในส่วนของอาหาร ควรรับประทาน อาหารโดยเน้นที่รสหวาน ขม ฝาด อาหารที่ไม่ผ่านการปรุง เช่น ผักสด ข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี ผักใบเขียว เช่น ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง
ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ปรุงรสจัด ผักที่มีรสร้อนและเปรี้ยว เช่น หน่อไม้ กุยช่าย มะเขือเทศ อาหารมันและของทอด แนะนำให้ดื่มชากำแพงเจ็ดชั้นช่วยลดการดูดซึมน้ำตาลในเลือด ช่วยระบาย ขับถ่ายของเสีย ขับลม หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสมุนไพรแนะนำให้ใช้ยาหอมเทพจิตร บอระเพ็ด พริกไทยดำ แห้วหมู
ส่วนการออกกำลังกาย ไม่ควรเล่นกีฬากลางแจ้ง หรือกีฬาที่หนักหน่วง ควรออกกำลังกายเบาๆ ในที่เย็นสบาย เช่น ว่ายน้ำ การฝึกสมาธิ กำหนดลมหายใจให้เกิดการผ่อนคลาย
+ ผู้ที่มีลักษณะเจ้าเรือนเป็นวาตะ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของอากาศและลม จะมีลักษณะรูปร่างผอมบางโปร่ง ผิวคล้ำ ผิวหนังเย็น หยาบ แห้ง ร่างกายสูงมากหรือเตี้ยมาก โครงร่างเบาบาง ปลายกระดูกนูนชัด กล้ามเนื้อเจริญไม่ดี ผมหยิกบาง มักมีความเครียดง่าย อารมณ์ไม่คงที่ มักกินอาหารเพื่อคลายเครียด
วาตะ มีคุณสมบัติ เบา, เคลื่อนไหว, หยาบ, แห้ง, เย็นและไม่แน่นอน ซึ่งอาการเจ็บป่วยที่พบได้บ่อยๆ คือ ซูบผอม ปวดข้อ กระดูกเปราะบาง อาหารไม่ย่อย ท้องผูก
ดังนั้น การรักษาโรคและอาการของกลุ่มวาตะ จึงควรใช้สมุนไพรรสหวาน เปรี้ยว เค็ม ซึ่งมีคุณสมบัติตรงข้าม และสามารถใช้สมุนไพรรสเผ็ดซึ่งมีคุณสมบัติร้อนเพื่อลดความเย็น แต่เนื่องจากรสเผ็ดมีความแห้งจะเพิ่มวาตะ จึงให้ใช้ได้เฉพาะระยะสั้นๆ และห้ามใช้รสเผ็ดถ้ามีอาการขาดน้ำ
ควรรับประทานรสหวาน เปรี้ยว เค็ม อาหารที่ช่วยเพิ่มแคลเซียม เช่น นม งา ผักบุ้ง ฟักทอง ใบตำลึง อาหารที่ให้ความอบอุ่น จำพวกผักกินหัว เช่น หน่อไม้ มัน เผือก แครอทและอาหารที่ให้ความชุ่มชื้นรสมัน เช่น ข้าวเจ้า เมล็ดพืช ถั่ว งา และควรรับประทานอาหารที่ปรุงโดยผ่านการ ต้ม นึ่ง ที่ย่อยง่าย
หลีกเลี่ยงอาหารรสขม เผ็ด ฝาด มันและอาหารดิบ น้ำสมุนไพร แนะนำให้ใช้ หญ้าดอกขาว เทพธาโร งดเครื่องดื่มที่เย็น
ยาสมุนไพร ควรใช้สมุนไพรที่มีรสหอมร้อน เช่น กระวาน อบเชย ลูกผักชี ว่านสาวหลง ยาหอมเทพจิตรซึ่งช่วยคลายเครียด ยอ ขมิ้นชันและเพชรสังฆาต ส่วนการออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวช้า มีจังหวะ เช่น โยคะ ฤาษีดัดตน วิ่งเหยาะๆ การนั่งสมาธิ ฝึกลมหายใจเข้าออก
+ ผู้ที่มีลักษณะเจ้าเรือนเป็นเสมหะ (กผะ) ซึ่งเกิดจากการรวมกันของธาตุน้ำและธาตุดิน ลักษณะร่างกายจะสมบูรณ์ดี มีแนวโน้มน้ำหนักมากเกิน ผิวหนังหนา กล้ามเนื้อเจริญสมบูรณ์ ผิวหนังสดใส นุ่ม ละเอียดเป็นมันและผมดก
เสมหะ (กผะ) มีคุณสมบัติ เหลว, หนัก, ชื้น, หล่อลื่น, เย็น, อ่อนนุ่ม สัมพันธ์กับการรับรู้รสและลิ้น ทำให้เกิดการเกาะเกี่ยว ให้ความชุ่มชื้นและหล่อลื่น อาการเจ็บป่วยที่พบได้บ่อยๆ คือ หวัด ไข้ หอบหืด หลอดลมอักเสบ มีเสลด เนื้องอก โรคหัวใจ
การรักษาโรคและอาการของกลุ่มกผะ จะใช้สมุนไพรรสขม ฝาด เผ็ด เนื่องจากรสขมและเผ็ดมีคุณสมบัติเบาและแห้ง ส่วนรสฝาดมีคุณสมบัติค่อนข้างแห้งและรสเผ็ดมีคุณสมบัติร้อน
นอกจากนี้ พื้นฐานของ กผะ คือ ดินและน้ำ การรักษาแนวทางอื่น ได้แก่ การลดดิน โดยการอดอาหาร การขับน้ำออกจากร่างกาย โดยใช้สมุนไพรขับปัสสาวะ ขับเหงื่อ ขับเสมหะ การทำให้อาเจียนเป็นการลดกผะที่แรงที่สุด ส่วนการทำความสะอาดลำไส้ ยาที่ควรใช้ เช่น ตรีผลา มะขามแขก ชุมเห็ดเทศ
ควรรับประทานอาหาร รสเผ็ด ขม ฝาด มัน แต่ควรหลีกเลี่ยง รสหวาน เปรี้ยว เค็มหรือรับประทานในปริมาณที่ไม่มากนัก เช่น พริก ขิง ข่า ตะไคร้ ดีปลี พริกไทย กระหล่ำและแครอท น้ำสมุนไพรให้ใช้ น้ำอบเชย, ชะเอมเทศ, ชาชะมวง, ชาส้มแขก สมุนไพรที่ช่วยไล่น้ำ เช่น บัวบก, กระเจี๊ยบ ยาสมุนไพรควรเป็นยารสร้อน เช่น ตรีกฏุกหรือพริกไทย ขิง ดีปลี, ยาหอมนวโกฐ
การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ เช่น การวิ่ง การเต้นแอโรบิค แบดมินตัน บาสเกตบอล ว่ายน้ำ
"อาหารเป็นสิ่งจำเป็นที่ร่างกายขาดไม่ได้ เพราะนอกจากช่วยดูแลระบบการทำงานของร่างกายให้ทำหน้าที่ได้ตามปกติแล้ว ยังช่วยให้เกิดสุนทรียทางอารมณ์ จึงไม่แปลกที่หลายคนเลือกกินแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ จนบางครั้งไม่สามารถควบคุมการกินได้ ส่งผลให้เกิดปัญหาเรื่องรูปร่างตามมา" ภญ.ดร. สุภาภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ