 
         
    	
อาชีพชาวนาชาวไร่ ที่คนส่วนมากรู้จักและเรียกขานว่า “กระดูกสันหลังของชาติ” ที่ปลูกทำการปลูกข้าว ปลูกผัก ผลไม้ให้คนไทยได้รับประทานกันตลอดทั้งปี และ ด้วยการทำงานหนักเพราะต้องอยู่กับแดด ลม ฝนตลอดทั้งวัน จนมีคำเรียกขานอีกอย่างหนึ่งเป็นอาชีพที่ “หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน” ที่ถือว่าเป็นอาชีพนี้อยู่คู่กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน โดยภายหลังมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่าอาชีพ “เกษตรกร” ซึ่งคนไทยทุกคนจำต้องตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพชาวนาหรือเกษตรกรว่ามีเป็นอาชีพที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนไทยทุกคน
และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นปัญหาของชาวนาไทยมาเนิ่นนานนอกเหนือจากราคาขายข้าวที่มีความผันผวนไม่แน่นอนก็คือผลผลิตต่อไร่ อัตราผลผลิตข้าวไทยต่อไร่ถือว่าต่ำระดับรั้งท้ายอาเซียนเฉลี่ย 400-600 กิโลกรัมต่อไร่ หรือประมาณครึ่งตันต่อไร่ เมื่ออัตราผลผลิตต่อไร่ต่ำ ผสมกับราคาข้าวในบางช่วงที่ตกต่ำ ทำให้รายได้จากการทำนาเตี้ยติดดิน ขนาดหลายคนบ่นว่าต่ำกว่าทุน ทำไปก็มีแต่ทุนหายกำไรหด ภาครัฐเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องเหล่านี้ พยายามอุดหนุนงบการวิจัยและพัฒนาเพื่อพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ๆที่มีประสิทธิภาพ ทนแล้ง ทนโรค แต่ก็ยังแก้ปัญหาได้ไม่ทั่วถึง
ผู้เชี่ยวชาญในวงการข้าว กล่าวว่า ถ้าเราสามารถแก้ปัญหาผลผลิตต่อไร่ให้กับชาวนาได้ โดยสามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ให้สูงขึ้น เช่นสามารถผลิตได้ 800 กิโลกรัมต่อไร่ ก็จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของชาวนาได้ คือแทนที่โฟกัสราคาซื้อขายในตลาดอย่างเดียว หันมาโฟกัสที่การเพิ่มผลผลิตต่อไร่แทน ถ้าผลผลิตต่อไร่ดี แม้ราคาจะต่ำก็ยังสามารถสร้างผลกำไรได้ หลายประเทศก็ใช้วิธีนี้ในการแก้ปัญหาให้กับชาวนา
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวภูมิภาคหนังสือพิมพ์ “สยามธุรกิจ” ลงพื้นที่ตรวจสอบการทำนาของเกษตรกรอยุธยายุคใหม่ พบว่าหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนปุ๋ยเคมี เนื่องจากสร้างผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและให้ผลผลิตดีกว่า คือนายทองม้วน จงรักษ์ ต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา ผู้มีสโลแกนประจำตัวว่า “ใช้เคมีไม่ยั่งยืน แต่จะล้มทั้งยืนโดยไม่ทันตั้งตัว”
นายทองม้วน เล่าว่า ทำนาข้าวโดยไม่มีสารเคมี 100%มานานกว่า 18 ปี เนื่องจากการทำด้วยสารเคมีไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่แย่ลง จึงหันมาศึกษาการปลูกข้าวด้วยปุ๋ยอินทรีย์ซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติ พบว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่า เพียงแต่ต้องใช้เวลาวิเคราะห์นานกว่าจะรู้ว่าดีกว่า
อย่างไรก็ตาม นายคำนวณยอมรับว่าทุกอย่างมีข้อดี-ข้อเสีย สารเคมีแม้จะมีข้อเสีย แต่ข้อดีคือหากใช้ในปริมาณที่พอเหมาะพอควรก็ถือเป็นเรื่องดีแต่โดยธรรมชาติคนทำนามักนิยมใส่ปุ๋ยในปริมาณมากๆเพื่อหวังจะให้ข้าวโตเร็วๆเมื่อใส่ปริมาณมากข้าวไม่สามารถนำปุ๋ยเคมีไปใช้ได้หมดจึงเกิดการสะสมที่หน้าดิน ซึ่งปุ๋ยเคมีมีสถานะเป็นกรด ถ้าสะสมนานความเป็นกรดก็จะสูงขึ้น เมื่อความเป็นกรดสูงมากเท่าไหร่ คุณภาพของดินก็แย่ลง ทำให้ดินพัง ดินเสีย หนำซ้ำทำให้เกิดเชื้อโรคขึ้นอีกหลายตัว
“สาเหตุที่หันมาใช้ป๋ยอินทรีย์ไม่มีใครบอก แต่ทำแล้วสังเกตผลที่เกิดขึ้นเอง พยายามศึกษาหาความรู้ตามแหล่งต่างๆ อาทิ การอบรม การศึกษาผ่านวิทยุ ซึ่งเรามีพื้นฐานมาก่อนก็ฟังเข้าใจง่าย นำมาทดลองปฏิบัติก็พบว่าดีขึ้น ผมใช้ปุ๋ยอินทรีย์ในพืนที่ 24 ไร่ ได้ข้าว 24 ตันกว่า เท่ากับว่าได้ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 1 ตันนี่คือประสิทธิภาพของปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งปุ๋ยเคมีทำไม่ได้นอกจากนี้ยังดีต่อระบบสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของตัวเอง” นายทองม้วน กล่าว
อีกรายในพื้นที่ใกล้เคียงกันคือนายสมควร คำม่วง ต.บางจัก อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทองทำนา 8 ไร่ เนื้อที่ทำจริง 7 ไร่ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ฉีดพ่นทางใบ ไม่ได้หว่านปุ๋ยรับท้องเนื่องจากพื้นที่ขาดน้ำแต่ยังได้ผลดี เก็บเกี่ยวได้ 90ถัง/ไร่ และได้ราคาดีกว่าเพื่อนบ้านชึ่งขณะนั้นชาวนาใกล้ๆกันขายได้ราคาตันละ 6,300-6,500บาทแต่นายสมควรได้ราคาตันละ 6,900บาท โดยต้นทุนการผลิตต่ำกว่าปกติเฉลี่ยไร่ละ2,200บาท
นับเป็นหนึ่งทางเลือกที่น่าปลื้มใจของชาวนายุคใหม่!!!
