นายร็อด เร้าท์ลี่ย์ กรรมการผู้จัดการ ภูมิภาคเอเชีย วัตสัน และดูแลประเทศไทย ผู้บริหารร้านค้าปลีกสุขภาพและความงาม “วัตสัน” กล่าวว่า ด้วยพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคไทยที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ความงามที่ซับซ้อนและตรงกับความต้องการมากขึ้น อาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ในช่วงระยะเวลาทีผ่านจนถึงปัจจุบันที่พบว่าการแข่งขันในธุรกิจร้านค้าปลีกด้านสุขภาพและความงามในไทยมีความดุเดือดมากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากมีผู้ประกอบการเจ้าใหม่ ๆ เปิดร้านในรูปแบบลักษณะดังกล่าวเข้ามาทำตลาดนี้กันมาก ส่วนในรายเดิมที่เปิดมาก่อนนั้นก็มีขยายตัวของธุรกิจตลอดเวลา แต่เรากลับมองว่ายิ่งเป็นการส่งผลให้ตลาดรวมธุรกิจร้านค้าปลีกลักษณะนี้มีศักยภาพมากขึ้น ผู้บริโภคมีโอกาสและทางเลือกมากขึ้น
โดยในเมื่อปีที่ผ่านมา จากการที่วัตสันได้แสดงเป้าหมายในการทำตลาดอย่างชัดเจนในเรื่องความต้องการหลอมรวมรูปแบบการช้อปปิ้งในสโตร์และออนไลน์สโตร์เข้าด้วยกันอย่างอย่างไร้รอยต่อ โดยเน้นกลยุทธ์แบบ O+O หรือ Offline+Online ไม่มีสะดุดทุกการช้อปปิ้ง จะไม่มีการแยกหน้าร้านหรือหน้าแอพออกจากกันอีกต่อไป โดยนำข้อดีของทั้งสองรูปแบบมาผสานกันเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดในการช้อปปิ้งให้กับลูกค้า ในปีนี้วัตสันจึงยังให้ความสำคัญต่อการลงทุนทั้งในส่วนของสโตร์ควบคู่ไปกับออนไลน์สโตร์อย่างต่อเนื่อง
“ การปรับกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้วัตสันออนไลน์มียอดการจำหน่ายเติบโตสูงขึ้นถึง 3 เท่า ภายในระยะเวลา 12 เดือน และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการวางรูปแบบออนไลน์สโตร์ให้สอดรับกับสโตร์ได้อย่างลงตัว โดยนำเสนอสินค้าที่หลากหลาย ซึ่งเรามั่นใจว่าแพลตฟอร์มออนไลน์จะเดินหน้าเติบโตขึ้นไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้เราจะเพิ่มสินค้าที่เป็นของวัตสันเข้าไปขายเพิ่มขึ้นในออนไลน์อีก 150 รายการ เน้นผลิตภัณฑ์จากเกาหลีและญี่ปุ่น จากเดิมที่มีอยู่ 770 รายการ รวมถึงสินค้าพิเศษเฉพาะออนไลน์ และโปรโมชันที่แตกต่าง”
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า ในด้านสโตร์วัตสัน หลังจากการเปิด 50 สาขาใหม่ได้ตามเป้าในปี 2560 วัตสันมีแผนเปิดอีก 50 สาขาในปีนี้ โดยเมื่อถึงสิ้นปี 2561 วัตสันจะมีสาขารวมทั้งสิ้น 515 สาขา กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศ ทั้งในปีนี้วัตสันยังมีการปล่อยรูปแบบร้าน คอนเส็ปต์ใหม่ออกมา โดยมีการนำร่องสาขาแรกไปแล้วที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
“เราตั้งเป้าขยายร้านวัตสันในคอนเส็ปต์ใหม่นี้ ด้วยการปรับรุงสาขาเดิมประมาณ 75 สาขาภายในปีนี้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาในด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มและอีคอมเมิร์สให้ดียิ่งขึ้น โดยในปีนี้เราจะมีการลงทุนในธุรกิจเพิ่มด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 600 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายปี้ผลประกอบการจะเติบโต 2 หลัก เช่นเดียวกับปีที่แล้วซึ่งไตรมาสแรกของปีนี้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย กำลังซื้อของลูกค้าเริ่มดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว”