ดร.พีระพงษ์ กิติเวชโภคาวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเราเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ความงามของไทย ได้แก่ แบรนด์บิวตี้บุฟเฟ่ต์ บิวตี้คอทเทจ และบิวตี้มาร์เก็ต เป็นต้น โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,700 ล้านบาท เติบโต 30% แบ่งสัดส่วนรายได้ 1. แบรนด์บิวตี้บุฟเฟ่ต์ 50%, 2.บิวตี้คอทเทจ 10%, 3. บิวตี้มาร์เก็ต 1%, 4.ต่างประเทศ 16% และ 5. อื่นๆ ที่เหลือ เช่น อีคอมเมิร์ซ และคอนซูเมอร์โปรดักต์ที่ใช้แบรนด์เมดอินเนเจอร์ ที่จำหน่ายในช่องทางค้าปลีกอื่นๆ เป็นต้น ขณะที่ปี 2561 ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมที่ 4,290 ล้านบาท โต 15%
ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมตลาดรวมความงามในไทยมีมูลค่ากว่า 178,000 ล้านบาท ยังมีการเติบโต 7% โดยแยกเป็นกลุ่มต่างๆ เช่น 1. กลุ่มเมกอัพ มูลค่าประมาณ 22,700 ล้านบาท หรือสัดส่วน 14% 2. กลุ่มสกินแคร์ สัดส่วนมากสุดคือ 47% 3. กลุ่มคัลเลอร์เมกอัพ มูลค่า 2,000 ล้านบาท และอื่นๆ
ดังนั้น เรามองว่าตลาดความงามไทยยังคงมีช่องทางอากาสทำตลาดอยู่ ซึ่งภายในปีนี้บริษัทได้วางแผนจะทำการปรับคอนเซ็ปต์ของร้านใหม่ทุกแบรนด์ คือ ร้านบิวตี้บุฟเฟต์ บิวตี้คอทเทจ และร้านบิวตี้มาร์เก็ต ให้เป็นคอนเซ็ปต์ที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น พร้อมกันนี้ ได้วางงบประมาณไว้รวมกว่า 70-80 ล้านบาท จะขยายสาขาใหม่ทุกแบรนด์ภายในปีนี้อีก 20 สาขา จากปัจจุบันที่มีแบรนด์บิวตี้บุฟเฟ่ต์ 264 สาขา, แบรนด์บิวตี้คอทเทจ 80 สาขา และบิวตี้มาร์เก็ต 9 สาขา
ล่าสุด บริษัทได้ออกสินค้าคอลเลกชันใหม่ในแบรนด์บิวตี้คอทเทจในกลุ่มกลุ่มลักชัวรีซึ่งเปิดตัวไปแล้วต้นปี ได้แก่ โกจิเซ็น วางเป้ายอดขาย 30 ล้านบาทในปีนี้ ส่วนคอลเลกชันอีก 2 กลุ่มจะทยอยเปิดตัวครึ่งปีหลัง ส่วนกลุ่มสองล่าสุดคือ ลักชัวรี มี 7 ไอเท็มส์ รวม 14 เอสเคยู เจาะกลุ่มบีบวก วางเป้ายอดขายปีนี้ไว้ที่ 43 ล้านบาท
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า นอกจากแผนการทำตลาดในประเทศไทยแล้วนั้น บริษัทมีเป้าหมายต้องการก้าวสู่การเป็นรีจินัลแบรนด์ภายในปี 2563 ด้วยยอดขายรวม 7,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2565 รวมทั้งการเตรียมเข้าสู่ยุคมาร์เกตติ้งอีรา (Marketing Era) ที่ต้องใช้การทำตลาดเป็นตัวนำ โดยบริษัทได้วางแผนจะขยายตลาดไปยังประเทศจีนให้มากขึ้น ผ่านในส่วนช่องทางอีคอมเมิร์ซ ที่ล่าสุดเตรียมที่จะเพิ่มพันธมิตรทางด้านมาร์เกตเพลซอีก 3 รายใหญ่ในจีน จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 5 ราย คือ เจดีดอทคอม, วีไอพีชอปดอทคอม, ทีมอลล์, เขาหล่า และยุนจี สำหรับปัจจุบันนี้บริษัทมีสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศมีประมาณ 30% จากรายได้รวม โดยมาจากจีนเป็นตลาดหลักมากกว่า 50%
