นางสาวกัลย์ธีรา ชาครียวณิชย์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด แผนกกรอบแว่นตา บริษัท เอสซีลอร์ ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่า แผนการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้จะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์โบลอง (BOLON) ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายมากขึ้น และใช้งบประมาณด้านการตลาดเพิ่มเป็นเท่าตัว จากปีนี้ที่ใช้ราว 10 ล้านบาท โดยจะเน้นการทำตลาดไปที่ช่องทางออนไลน์ พรีเซ็นตอร์อย่าง “ใหม่ ดาวิกา” ควบคู่กับการใช้สื่อนอกบ้าน เป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีการขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังคนเมืองผ่านการใช้สื่อบนรถไฟฟ้าบีทีเอสมากขึ้น
ทั้งนี้ จะเน้นการชูภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่เป็นพรีเมี่ยมแมสในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเน้นเจาะกลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ เป็นหลัก พร้อมกันนี้ยังจะขยายตลาดไปสู่เขตภาคใต้ให้มากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมายังไม่แข็งแรงมากนัก ซึ่งภาคใต้ไม่ใช่เพียงแค่สามารถจับกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าในประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ยังครอบคลุมไปถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีอัตราการเติบโตสูงทุกปี โดยในส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือค่อนข้างมีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้าอยู่แล้ว คงเน้นหากลยุทธ์เพื่อเติมเต็มในตลาดที่ยอดขายไม่สูงมาก
“บริษัทยังได้เตรียมพัฒนาคอนเทนต์ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้บริโภค ในการเลือกซื้อแบรนด์โบลองของแท้ เพราะที่ผ่านมามีสินค้าเลียนแบบเกิดขึ้น และนำไปจำหน่ายในช่องทางออนไลน์ตามมาร์เก็ตเพลสต่างๆ โดยขายสินค้าในราคาถูกแค่ระดับ 1,000 บาทหรือต่ำกว่านั้น จากปกติราคาสินค้าของบริษัทจะอยู่ระดับ 4,000 บาทขึ้นไป นับเป็นปัจจัยลบที่สร้างผลกระทบแก่ร้านค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายแก่บริษัท ซึ่งปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายแบรนด์โบลองมากว่า 400-500 แห่ง และกำลังเตรียมขยายเพิ่มทุกปี”
พร้อมกันนี้วางเป้าหมายยอดขายแว่นตาแบรนด์โบลองในสิ้นปีนี้ไว้ที่ราว 3-4 หมื่นชิ้น หรือคิดเป็นยอดขายกว่า 176 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายที่มาจากกรุงเทพ 60% และต่างจังหวัด 40% โดยวางเป้าหมายในปีหน้าจะสามารถเพิ่มยอดขายได้เป็นเท่าตัวหรือราว 8 หมื่นชิ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทรุกตลาดพร้อมกับสร้างการรับรู้แบรนด์มากขึ้น โดยปัจจุบันเอสซีลอร์มีรายได้จาก 3 ส่วนหลัก คือ 1. เลนส์ 90% 2. กรอบแว่นตา และเครื่องมือเกี่ยวกับระบบการมองและสายตา ซึ่งในส่วนของเลนส์นั้นถือเป็นรายเดียวที่นำเสนอนวัตกรรม "แอร์แวร์" ส่วนกรอบแว่นตาที่นำเข้าและจัดจำหน่าย มีกว่า 8-10 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์เนม อย่าง กุชชี่ เวอร์วาเช่ และคาร์เทียร์ ที่เป็นแบรนด์ล่าสุดที่ได้มา ขณะที่รายได้รวมบริษัทปีนี้มองว่าจะทำได้ใกล้เคียง 1,000 ล้านบาทตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันภาพรวมตลาดแว่นตาเมืองไทยปัจจุบันมีมูลค่าราว 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 2 หลักทุกปี โดยมีปัจจัยหลักมาจากผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญต่อสุขภาพการใช้สายตาและดวงตามากขึ้น ซึ่งกลุ่มแว่นสายตายังเป็นตลาดใหญ่กว่า 90% ส่วนกลุ่มแว่นตาแฟชั่นและกันแดดยังมีสัดส่วนน้อยราว 10% เพราะคนไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อแว่นกันแดดที่มีคุณภาพอย่างแท้จริง และยังคงนิยมซื้อใช้ในช่องทางร้านค้าทั่วไป