นาย ฮิเดคาสึ อิโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทพานาโซนิคในประเทศไทย กล่าวว่า สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในเมืองไทยปีนี้คาดว่ายังคงมีโอกาสเติบโตได้ดีขึ้น เนื่องมาจากหลายปัจจัยไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศที่ร้อนเร็วขึ้น หรือแม่รกะทั้งในเรื่องของมลพิษทางอากาศ PM 2.5 ที่จะมีส่วนช่วยให้การกระตุ้นดีมานด์ในกลุ่มเครื่องปรับอากาศ กรองอากาศ ให้โตได้ดียิ่งขึ้น ประกอบกับกระแสสมาร์ทโฮมในกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯที่ การลงทุนอีอีซีกระตุ้นดีมานด์เครื่องจักรและระบบโรงงาน เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีแนวโน้มขยายตัว เป็นต้น ที่ทางพานาโซนิคสามารถตอบโจทย์ในทุกกลุ่มธุรกิจได้อย่างครบถ้วน
โดยปีนี้เป็นปีที่พานาโซนิคทั่วโลกได้เฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งพานาโซนิค ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนโยบายจากบริษัทแม่นั้นได้เน้นย้ำถึงกลยุทธ์ของพานาโซนิคภายใต้ทิศทางการดำเนินธุรกิจของพานาโซนิคทั่วโลกในอีก 100 ปี ข้างหน้า คือ การร่วมสร้างสรรค์ หรือ “Co-Creation” ไปพร้อมกับคู่ค้า ลูกค้า และผู้บริโภคในชีวิตประจำวันพร้อมกัน ด้วยคอนเซ็ปต์ธุรกิจใหม่ที่เรียกว่า “ไลฟ์สไตล์ อัปเดต” เพื่อตอบโจทย์การดำเนินชีวิตของผู้บริโภคด้วยเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุด ด้วยแนวคิดหลัก “A Better Life, A Better World” ผ่านการคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และโซลูชันใน 3 หมวด คือ 1. Living Space 2. Mobility และ 3. Business to Business หรือ B2B
“เราได้วางแผนการดำเนินงานในไทยปีนี้จะเน้นในส่วนของ Living Space เช่น 1. โซลูชัน Quality Air For Life กับผลิตภัณฑ์ระบบระบายอากาศ และระบบประบอากาศที่สร้างอากาศเย็นสบาย และด้วย nanoeTM Technology ที่ยับยั้ง ฝุ่น PM 2.5 เชื้อราและไวรัส 2. IP Camera คอนเซ็ปต์ Smart & Safety Life และ 3. Home Automation ระบบควบคุมการทำงานภายในบ้านที่รวมเอาความสะดวกสบายไว้ในหนึ่งเดียว นอกจากนี้ ในไทยจะมีการลงทุนเพิ่มเติม โดยเฉพาะในส่วนของของโรงงานที่มีอยู่ 11 แห่งในไทย จะมีการขยายการลงทุนของโรงงานเกี่ยวกับสินค้า B2B และการส่งออก รวมถึงซัปพลายในประเทศ นอกจากนี้ยังมุ่งลงทุนนำเข้าและทำตลาดสินค้าใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยทำตลาดในไทย เช่น สินค้าในกลุ่มนวัตกรรมยานยนต์ ซึ่งจะเป็นธุรกิจแบบ B2B ที่เจาะคอนซูเมอร์โดยตรง จะมีทั้งผลิตในประเทศและนำเข้าประกอบ”
อย่างไรก็ตาม ในปี 2561 พานาโซนิคได้คาดการณ์ผลการดำเนินงานทั่วโลกจะมีมูลค่า 2.5 ล้านล้านบาท โตขึ้น 1% จาก 4 กลุ่มธุรกิจประกอบด้วย 1. Appliances Company (AP) 31% 2. Eco Solutions Company (ES) 23% 3. Connected Solution Company (CNS) 13% และ 4. Automotive & Industrial Systems Company (AIS) 33% ส่วนในไทย ปี2561มีผลประกอบการรวม 91,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนตามลำดับ ดังนี้ 1. AP 24% 2. ES 9% 3. CNS 2% และ 4. AIS 65% สำหรับภาพรวมรายได้ปี 2562 นี้จะปิดรายได้รวมที่ 95,000 ล้านบาท มาจาก AP 24%, ES 9%, CNS2% และ AIS 65% ซึ่งทุกตัวมีอัตราการเติบโตขึ้นทั้งหมดและในปี 2563 จากทิศทางการดำเนินงานคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ 1 แสนล้านบาท และเป็นแบรนด์ที่ครองใจผู้บริโภคได้ขยับขึ้นเป็นอันดับ 1 ตามเป้าหมาย จากปัจจุบันอยู่อันดับ 3
