นางชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า ตลอด 60 ปี สยามพิวรรธน์มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในการสร้างต้นแบบ และนำมาตรฐานใหม่ๆ มาพัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน และแผนดำเนินธุรกิจในช่วง 5 ปีจากนี้ คือ ในปี 2562-2566 เรายังคงดำเนินธุรกิจด้วยหลักเป็น “ผู้นำแห่งเศรษฐกิจสร้างสรรค์”ซึ่งจะเน้นไปที่การสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกับคนไทยทั้งประเทศ และพันธมิตรชั้นนำในต่างประเทศ โดยจะพัฒนาสร้างค้าปลีกให้เป็นโครงการขนาดใหญ่ เป็นมิกซ์ยูสที่มีลักษณะเป็นเมืองและมีหลายสิ่งในโครงการแต่ละแห่งในพื้นที่เดียวกัน ทั้งโครงการที่พักอาศัย ศูนย์การค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกด้านอื่นๆ  

สำหรับโครงการใหม่ๆ ที่จะลงทุน เช่น โครงการเมืองแบบไอคอนสยามอีก 2 แห่ง พื้นที่ขั้นต่ำ 100 ไร่ อยู่ระหว่างการศึกษาและซื้อที่ดิน การเปิดเอาต์เลตมอลล์อีก 2 แห่งที่ร่วมทุนกับไซม่อนกรุ๊ป ซึ่งในปลายปีนี้จะเปิดแห่งแรก ชื่อ สยามพรีเมียมเอาต์เลตมอลล์ ที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ การเจรจาร่วมทุนกับค้าปลีกในเวียดนาม กัมพูชา พม่า อยู่ระหว่างการศึกษา การขยายไลน์ค้าปลีกในรูปแบบแฟรนไชส์ การร่วมทุนกับค้าปลีกต่างประเทศเพื่อเปิดตัวอีก 2 แบรนด์สินค้าไลฟ์สไตล์

“เราจะยังคงมุ่งเน้นสร้างโครงการใหม่และสานต่อโครงการเดิมอย่างต่อเนื่องรวมงบลงทุนที่วางไว้ราว 70,000 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจค้าปลีก อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และซื้ออาคารสำนักงาน โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมทั้งบริษัทภายใน 5 ปีนับจากนี้จะเติบโตประมาณ 1-1.5 เท่า จากปัจจุบันที่กลุ่มสยามพิวรรธน์ที่มีบริษัทในเครือรวม 46 บริษัท มีรายได้รวมในปีที่แล้ว (2561) ประมาณ 25,500 ล้านบาท เติบโตจากปี 2560 ประมาณ 23% และตั้งเป้าหมายปี 2562 นี้ทั้งกลุ่มจะเติบโต 12-15% โดยเฉพาะไอคอนสยามเติบโตสูงถึง 42%”

อีกทั้ง ในปีนี้เราจะเปิดตัวระบบสารสนเทศทางการตลาดที่พัฒนามานาน 5 ปีด้วยงบ 500 ล้านบาท โดยพร้อมใช้อย่างเต็มรูปแบบแล้วในปีนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าและรวบรวมฐานข้อมูลจากลูกค้าที่ถือบัตรต่างๆ รวมกันของศูนย์การค้าเราทั้งหมด ได้แก่ สยามเซ็นเตอร์ สยามดิสคัฟเวอรี่ สยามพารากอน และไอคอนสยาม รวมกว่า 7-8 ล้านคน โดยที่ทั้ง 3 ศูนย์ฯ มีคนเดินเข้าศูนย์ฯ รวมไม่ต่ำกว่าวันละ 200,000-250,000 คน (ไม่นับไอคอนสยาม) ซึ่งจากการที่เราได้ทำระบบตรงนี้ได้อย่างเป็นระบบและสัดส่วนชัดเจนแล้ว ต่อไปเราจะนำข้อมูลตรงนี้นำมาทำพัฒนา สร้างกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

“ ในยุคที่โลกก้าวสู่สังคมออนไลน์ส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคแปรเปลี่ยนไป บริษัทต้องปรับตัวเพื่อรองรับกับเทรนด์ดังกล่าว เราจึงได้ขยายช่องทางค้าปลีกไปยังตลาดออนไลน์ ผ่านทางอี-คอมเมิร์ส และ เอส-คอมเมิร์ส เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถมาถึงสถานที่ของเราได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกค้าต่างจังหวัดและต่างประเทศ เกิดความสะดวกสบาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในปัจจุบันได้อย่างตรงจุดที่สุด”