ตลาดหุ้นสดใสรับ "รัฐบาลชุดใหม่" จับตา3.5แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

วันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2562

ตลาดหุ้นสดใสรับ


นักวิเคราะห์ โบรกเกอร์ มองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและตลาดหุ้นไทย “SCB Wealth Holistic Experts” คาด SET Index ครึ่งปีหลัง 2562 มีโอกาสเคลื่อนไหวที่ระดับ 1700-1750 จุด พร้อมแนะนำหุ้นเด่นในไตรมาส 3 อ้างอิงปัจจัยในประเทศที่มีการเติบโตและได้ประโยชน์จากนโยบายรัฐบาล ขณะที่ บล.ทิสโก้ เปิดโผหุ้นเด่นรับครม.ชุดใหม่ คาดรัฐอัดฉีดเงินเกือบ 3.5 แสนล้านกระตุ้นเศรษฐกิจ

นายศรชัย สุเนต์ตา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิเคราะห์ข้อมูลด้านการลงทุนและที่ปรึกษาการลงทุน (CIO Office) ธนาคารไทยพาณิชย์ ให้มุมมองการลงทุนในครึ่งปีหลังว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางของสหรัฐฯและทั่วโลก จะเป็นตัวกำหนดทิศทางการลงทุน ในขณะที่ความขัดแย้งทางการค้าจะยืดเยื้อไม่จบลงง่ายๆ แม้ว่าการพบกันระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์-สี จิ้นผิงนอกรอบ G-20 ที่ผ่านมาจะทำให้ Sentiment ตลาดดูดีขึ้น แต่ความขัดแย้งน่าจะขยายตัวไปยังหลายประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อความผันผวนของทิศทางตลาดต่อไป จนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียง และสร้างคะแนนความนิยมให้กับประธานาธิบดีทรัมป์ ก่อนการเลือกตั้งฯ ภายใต้การชูนโยบาย “Make America Great Again” ในเดือนพฤศจิกายน 2563

ธนาคารกลางทั่วโลก จะดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ และจะต้องรักษา policy space กับอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะปรับลดลง ไม่ให้เกิดแรงกดดันกับอัตราแลกเปลี่ยนให้ซ้ำเติมการส่งออกมากขึ้นอีกด้วย โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) มีกระสุนที่จะลดดอกเบี้ยมากที่สุด โดยคาดว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed fund rate) ในปีนี้รวม 2 ครั้งจากปัจจุบัน ซึ่งจะถือเป็นสัญญาณเชิงบวกว่า Fed พร้อมจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างทันที เป็นเหมือน การฉีดวัคซีนป้องกันให้กับเศรษฐกิจ ก่อนที่โรคร้ายแรงจะเกิด ทำให้นักลงทุนลดความกังวลเรื่องเศรษฐกิจจะเข้าสู่ recession ในปีหน้า ประกอบกับแรงกดดันของประธานาธิบดีทรัมป์ ได้เรียกร้องให้ Fed ลดอัตราดอกเบี้ยมาแล้วหลายครั้ง และเคยวิจารณ์การทำงานของ Fed ว่าการปรับขึ้นดอกเบี้ยถึง 1.0% ในปีที่แล้ว ถือเป็นปัจจัยที่ฉุดเศรษฐกิจและตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ จะเสนอชื่อนายคริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และ นางจูดี้ เชลตัน ซึ่งมีแนวความคิดสนับสนุนการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกคณะกรรมการ Fed อีกด้วย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงไตรมาส 3/2562 ตลาดหุ้นที่มีมุมมองในเชิงบวก แต่แนะนำให้ลงทุนในระยะสั้นตาม sentiment ตลาดคือ 1) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากเศรษฐกิจน่าจะปรับตัวดีขึ้นได้จากการลดดอกเบี้ยของ Fed และจากสภาพคล่องในตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้น และ 2) ตลาดหุ้นจีน ซึ่งจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายการเงิน การคลัง และราคายังไม่แพงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในกลุ่มพัฒนาแล้ว

ส่วนการลงทุนในระยะกลางคือ 3) ประเทศที่จะได้รับประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เพื่อเลี่ยงภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เช่น เวียดนาม โดยมูลค่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของเวียดนาม ได้เพิ่มขึ้นสูงที่สุดในรอบ 4 ปี ในขณะที่ valuation และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในตลาดหุ้นเวียดนามยัง น่าสนใจ 4) ตลาดหุ้นไทยที่จะได้รับปัจจัยหนุนจากการเมืองในประเทศ โดยรัฐบาลใหม่มีแนวโน้มประกาศนโยบายด้านเศรษฐ-กิจช่วงปลายเดือนกรกฎาคมนี้

โดยแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุการลงทุนยาว เพราะแม้ ว่าอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในทิศทางขาลงก็ตาม แต่เรามองว่าราคาตราสารหนี้ได้รับรู้ไปมากแล้ว ซึ่งหาก Fed ปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่นักลงทุนคาดการณ์ไว้ อาจส่งผลให้ Yield Curve ปรับเพิ่มขึ้น และราคาตราสารหนี้จะปรับลดลงจากระดับปัจจุบันได้

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ควรเลือกลงทุนในนโยบายลงทุนที่ยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาโดยผู้จัด การกองทุน เช่น การลงทุนในกองทุนผสม ที่มีการกระจายการลงทุนทั้งในตลาดตรา สารหนี้และตราสารทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ หรือแนะนำให้ลงทุนในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีการคุ้มครองเงินต้น

ขณะที่ นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรม-การผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวถึงมุมมองด้านเศรษฐกิจไทยว่า เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะในภาคต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงหดตัวลง 4.9% YoY และมีส่วนสำคัญที่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP growth contributor) ติดลบค่อนข้างมาก (-3.6%) ซึ่งเป็นตัว ฉุดรั้ง GDP ในไตรมาสแรกให้ขยายตัวลดลงเหลือ +2.8% ดังนั้น ปัจจัยที่จะเป็น ตัวผลักดันเศรษฐกิจในปี 2562 จึงจำเป็นต้องพึ่งการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงการท่องเที่ยวเป็นหลัก โดย SCBS คาดการณ์ GDP ปี 2562 ไว้ที่ 3.1% ลดลงจากเดิม 3.3%

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย ประเมินว่า ได้รับปัจจัยหนุนจากเงินทุนต่างชาติไหลเข้า โดยรัฐบาลใหม่กำลังจะเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐ-กิจดีขึ้น เนื่องจากความชัดเจนทางการเมือง รวมถึงการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยประคองเศรษฐกิจ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่น ให้กับภาคธุรกิจและนักลงทุน ทั้งนี้ประเมินว่า SET Index ครึ่งปีหลัง 2562 มีโอกาสเคลื่อนไหวที่ระดับ 1700-1750 จุด

กลยุทธ์การลงทุนตลาดหุ้นไทย เรามองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำจากกรณีสงครามการค้า ในขณะที่การปรับลดประมาณการกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนใกล้สิ้นสุดแล้ว คาดว่า SET Index ในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 ยังคงมีโอกาสเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 1700 -1750 จุด โดยหุ้น Top Picks แนะนำลงทุนในไตรมาส 3/2562 มุ่งเน้นไปที่หุ้นที่อ้างอิงปัจจัยในประเทศ Domestic play ที่มีประเด็นการเติบโตและได้ประโยชน์จาก นโยบายรัฐบาล ซึ่งจะมีความโดดเด่นกว่า Global play คือกลุ่มธนาคาร นิคมอุตสาห-กรรม รับเหมาก่อสร้าง จะเด่นขึ้นในระยะสั้น ส่วนกลุ่มค้าปลีก การแพทย์ ท่องเที่ยว ยังคงเป็นกลุ่มที่น่าลงทุนในระยะยาว

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากคณะรัฐมนตรี ‘ประยุทธ์ 2/1’ ได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้ว คาดว่านโยบายเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแถลงในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จะเกี่ยวข้องกับนโยบายหลักของ 3 พรรคร่วมรัฐบาล เช่น การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ,การดูแลราคาสินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว ยาง ปาล์ม, การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และการขึ้นค่าแรงงานขั้นต่ำ เป็นต้น รวมทั้งจะดำเนินการเร่งรัดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ โดยเฉพาะโครงการใน EEC ให้มีความคืบหน้ามากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าเมื่อรวมทุกนโยบาย จะสามารถคำนวณเป็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณ 3.5 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็น 2% ต่อ GDP โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือรัฐบาลจะสามารถเดินหน้านโยบายได้ทั้งหมดหรือ ไม่ เพราะอาจมีข้อจำกัดในการขาดดุลงบประมาณ อีกทั้งต้องจับตาว่า รัฐบาลจะสามารถผลักดันโครงการต่างๆ ให้เห็นผลในเชิงประจักษ์ได้มากน้อยแค่ไหน

“หากรัฐบาลเดินหน้านโยบายได้ทั้งหมดจะมีเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประ-มาณ 3.5 แสนล้านบาทต่อปี แบ่งเป็น 1. การช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยและโครงการมารดาประชารัฐ 7.2 หมื่นล้านบาทต่อปี 2.การดูแลราคาสินค้าเกษตร 1 แสนล้านบาทต่อปี และ 3.การลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% สำหรับคนชั้นกลาง 1.7 แสน ล้านบาท แต่ด้วยข้อจำกัดของการขาดดุลงบประมาณภายใต้กฎหมายและการเติบโตของ GDP ในปัจจุบัน คาดว่าจะขาดดุลงบประมาณได้ไม่เกิน 6.3-7.2 แสนล้านบาทต่อปี จึงทำให้รัฐบาลอาจจะต้องลดทอนนโยบายบางอย่าง หรือหั่นมาตรการที่มีอยู่เดิม” นายอภิชาติกล่าว



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ