‘อนุทิน’ โชว์กัญชาการแพทย์บรรจุในนโยบายรัฐบาล มุ่งประโยชน์รักษาโรคถูกกฎหมาย ประชาชนเข้าถึงได้ เพิ่มรายได้อย่างเข้มแข็ง ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อนผ่าน อสม. ทั่วประเทศ 1 ล้านคน จัดอบรมให้มีความรู้รอบด้าน ก่อนนำไปขยายผลถ่ายทอดสู่ประชาชนปลูกในบ้าน ด้าน กสอ. จัด ‘ศูนย์ไอทีซี’ ผลิตสารสกัดขายตรงโรงพยาบาล ปั้นเกษตรกรเป็นนักรบพันธุ์ใหม่ นำร่อง 3 จังหวัด ‘เชียงใหม่-อุดรฯ’สุราษฎร์ฯ’
ขณะที่กรมแพทย์แผนไทยฯเอ็มโอยู 3 หน่วยงานปลูกกัญชา 4 ภาค ส่งผลผลิตปรุง 16 ตำรับยาไทย สภาเกษตรกรแห่งชาติเดินสายหนุนรวมกลุ่มปลูกแบบสหกรณ์ นักวิชาการชี้ตลาดโลกเงินสะพัดเฉียด 2 ล้านล้าน แนะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น
*** ‘อนุทิน’ เผย ‘กัญชา’บรรจุในนโยบายรัฐบาลแล้ว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “กัญชาเสรีเพื่อการแพทย์” จัดโดยพรรคภูมิใจไทยว่า จากการหารือเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลร่วมกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อเตรียมแถลงนโยบายรัฐบาลในเร็วๆ นี้
ต้องขอขอบคุณท่านนายกฯที่กรุณาบรรจุนโยบายกัญชาเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคและทางการแพทย์เป็นนโยบายรัฐบาลด้วย อย่างไรก็ตาม นโยบายของพรรคตั้งแต่แรกเริ่มของการคิดนโยบายกัญชาเสรี มุ่งเน้นประโยชน์เสรีทางการแพทย์และรักษาโรคเท่านั้น ซึ่งในการขับเคลื่อนนโยบายนี้มีเป้าหมาย คือ 1.กัญชาต้องเป็นยารักษาโรคที่ถูกกฎหมาย 2.กัญชาเป็นยารักษาโรคที่ประชาชนเข้าถึงได้ และบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อเป็นยาที่ผู้ป่วยในทุกสิทธิประกันสุขภาพรัฐทั้งหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคมหรือสวัสดิการข้าราชการสามารถ นำมาใช้รักษาได้ และ 3.กัญชาเป็นยารักษาโรคที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทย อย่างเท่าเทียมกัน จะต้องไม่มีการอ้างสิทธิบัตรของใครเหนือพืชกัญชา ด้วยการจดสิทธิบัตรกัญชาสายพันธุ์ต่างๆ หากทำได้สำเร็จทั้ง 3 ข้อนี้ กัญชาจะเป็นพืชเศรษฐกิจให้คนไทยมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น มีความมั่นคง แข็งแรง
“ตอนที่พรรคคิดนโยบายนี้คือ เอากัญชามารักษาโรคความเจ็บไข้ของประชาชน เพราะเชื่อว่าสายพันธุ์กัญชาที่ทำได้ดี จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาลงได้ เพื่อดูแลสุขภาพคนไทย ไม่ใช่ดูแลสุขภาพบริษัทค้ายาที่สร้างกำไรมากมายมหาศาล และขอย้ำว่าพรรคเน้นเรื่องกัญชาเสรีเพื่อประโยชน์การรักษาโรค และการพัฒนาทางการแพทย์ของประเทศเป็นหลัก” นายอนุทิน กล่าว
สำหรับการขับเคลื่อนเรื่องกัญชาเสรีทางการแพทย์และรักษาโรค ทุกอย่างจะต้องมีขั้นตอนดำเนินการ ซึ่งจากการประ-สานกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ก็ชัดเจนว่าพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่7) พ.ศ.2562
มีข้อยกเว้นให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ทางการรักษาโรค การวิจัย และการศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนาในการรักษาโรค ซึ่งตนจะดำเนินงานเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ด้วยการหารือกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขที่ทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นนโยบายและพร้อมให้ความร่วมมือ ในเบื้องต้นอาจจะเป็นการขับเคลื่อนผ่านอาสาสมัครประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่มีอยู่ทั่วประเทศ ราว 1 ล้านคนก่อน โดยจัดอบรมให้มีความรู้อย่างครอบคลุมรอบด้าน และขยายผลถ่ายทอดต่อไปยังประชาชนในการปลูกในบ้าน โดยจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องการใช้ประโยขน์ทางการแพทย์และรักษาโรค เกี่ยวกับสรรพคุณต่างๆ และการปราศจากการปนเปื้อนโลหะหนักที่กัญชาจะดูดซับ ได้ดี ซึ่งอาจจะใช้เวลา 1-2 ปี จึงจะดำเนินการได้ทั่วถึง จากนั้นจะขับเคลื่อนให้คนไทยปลูกที่บ้านได้เอง 6 ต้น โดยต้องเป็นการปลูกเพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ รักษาโรคเท่านั้น คล้ายกับพืชสมุนไพรอื่นๆ ที่คนไทยสามารถปลูกไว้ใช้ได้
*** กสอ.ใช้ศูนย์ไอทีซี ผลิตสารสกัดขายตรงร.พ.
นายจารุพันธุ์ จารโยภาส รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) ในฐานะรองประธานคณะทำงานขับเคลื่อนแผนพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพกลุ่มกัญชาและสมุนไพร เปิดเผยถึงความคืบหน้าแผนพัฒนากลุ่มกัญชาว่า เตรียมพัฒนาศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมหรือศูนย์ไอทีซี ที่อยู่ในศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคต่างๆ ของ กสอ.ให้มีเครื่องมืออุปกรณ์ในการทำสารสกัดกัญชา เพื่อให้เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเข้ามาใช้อุปกรณ์ผลิตสารสกัดกัญชาอย่างถูกกฎหมาย ขายตรงให้กับโรงพยาบาล รวมทั้งจะให้ความรู้หลายๆด้าน อาทิ การทำตลาด การสกัด การทำระบบ การขนย้ายให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นนักธุรกิจพันธุ์ใหม่ รองรับนโยบายการสกัดสารกัญชาใช้ทางการแพทย์ที่ถูกกฎหมาย
โดยได้เร่งปรับศูนย์ภาคเบื้องต้นนำร่อง 3 แห่ง คือ ศูนย์ไอทีซี ภาค 1 จ.เชียง ใหม่, ศูนย์ไอทีซี ภาค 4 จ.อุดรธานี และศูนย์ไอทีซี ภาค 10 จ.สุราษฎร์ธานี ให้เตรียมเครื่องมือรองรับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องเข้ามาใช้ศูนย์ ลักษณะเป็นโรงงานโออี เอ็มผลิตขายตรงให้กับโรงพยาบาลเบื้องต้นมีโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร โรงพยาบาลท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี สถาบันโรคผิวหนัง และสถาบันมะเร็งแห่งชาติ สนใจนำสารสกัดจากกัญชาไปใช้เพื่อการแพทย์
นายจารุพันธุ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้จะหารือกับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เพื่อหาแนวทางการดำเนินงานให้ถูกกฎ-หมาย อาทิ การขนย้ายวัตถุดิบสดกัญชาจากกลุ่มเกษตรกร การส่งไปแปรรูปในโรงงาน รวมทั้งจะหารือร่วมกับสภาเกษตร กรแห่งชาติทำความเข้าใจการปลูกกัญชาให้ได้ประสิทธิภาพและเป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ได้เตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว เพื่อรองรับหากกฎหมายผ่านก็จะดำเนินการได้ทันทีตามแผนงานที่ได้กำหนดไว้ โดยแผนใหญ่ที่เป็นรูปธรรมทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนสิงหาคมนี้
*** กรมแพทย์แผนไทยฯ นำร่อง ‘กัญชา’ 4 ภาค
ก่อนหน้านี้ กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณ สุข (สธ.) ได้มีการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) ด้านการศึกษาวิจัยและพัฒนาการนำกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์แผนไทย ระหว่าง น.พ.มรุต จิรเศรษฐสิริ อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ ว่าที่ ร.ต.สมบูรณ์ทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ รศ.โฆษิต ศรีภูธร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโน โลยีราชมงคลอีสาน (มทร.อีสาน) และ รศ.สิรี ชัยสิริ รองคณบดีฝ่ายวิจัยมหา วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) วิทยาเขตเฉลิมเกียรติ จ.สกลนคร เพื่อร่วมมือด้านการปลูกพืชกัญชาในการส่งผลิตเป็นตำรับยาตามกฎหมาย โดยมีแหล่งปลูกกระจาย 4 ภาค และส่งให้หน่วยผลิตที่กำหนด ดังนี้ 1.ภาคเหนือ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ จ.ลำปาง ปลูกและผลิตกัญชาสดส่งให้โรงพยาบาลสมเด็จยุพราชเด่นชัย 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ จ.บุรีรัมย์ ปลูกและผลิตส่งมอบให้โรงพยาบาลคูเมือง มทร.อีสาน และ มก. วิทยาเขตเฉลิมเกียรติ จ.สกลนคร ปลูกและผลิตส่งให้โรงพยาบาลอาจารย์ ฝั้น อาจาโร 3.ภาคกลาง สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ จ.กาญจนบุรี ปลูกและผลิตกัญชาสดส่งให้โรงพยาบาลดอนตูม จ.นครปฐม และศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) ปลูกและผลิตส่งให้กองพัฒนายาแผนไทยและสมุนไพร และ 4.ภาคใต้ สำนักงานสภาเกษตรกรแห่งชาติ จ.สุราษฎ์ธานี ปลูกและผลิตกัญชาสดส่งให้โรงพยาบาลท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี
*** ปลูกตามมาตรฐานออร์แกนิก
รศ.โฆษิต ศรีภูธร รองอธิการบดี มทร.อีสาน กล่าวว่า การปลูกกัญชาจะต้องได้ตามมาตรฐานการปฏิบัติด้าน การเพาะปลูกที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) และมาตรฐานการปลูกแบบเมดิคัล เกรด (Medical Grade) หรือมาตรฐานเกรดทางการแพทย์ที่นานา ชาติให้การยอมรับ รวมทั้งเป็นการปลูกแบบอินทรีย์ (ออร์แกนิก) เพื่อให้ปราศจากสารเคมีและสารปนเปื้อน ได้มาตรฐานมากที่สุด กระบวนการทุกขั้นตอนจะต้องได้รับการอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อที่จะสามารถนำกัญชาสดไปปรุงยาตำรับไทย 16 ตำรับให้ผู้ป่วยที่กำลังรอคอยไปใช้ได้ทันที
“กัญชาเป็นพืชไทยที่ใช้รักษาโรค มานาน โดยครั้งนี้เป็นความร่วมมือเพื่อ นำไปศึกษาการปลูก วิจัยและพัฒนาเพื่อใช้ทางการแพทย์ ตามที่ได้รับอนุญาต ในการใช้ปรุงยาและสั่งจ่ายยาที่มีกัญชาผสมอยู่ ซึ่งการปลูกกัญชาต้องปลูกแบบเมดิคัล เกรด เพื่อให้ได้คุณภาพที่ใช้ทาง การแพทย์ได้คือปราศจากสิ่งเจือปนทั้ง 3 กลุ่ม ได้แก่ สารปนเปื้อนโลหะหนัก หญ้าฆ่าแมลงอันตราย และจุลชีพพืช เพื่อ การปรุงยาตำรับแพทย์แผนไทยทั้ง 16 ตำรับ” รศ.โฆษิต กล่าว
*** ยันรักษาได้มากกว่า 100 โรค
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า กรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบในหลักการให้แก้ไขกฎหมายเพื่ออนุญาตให้นำกัญชามาใช้ทดลองวิจัยรักษาโรค ในคนได้ ต้องขอบคุณรัฐบาลที่พยายามผลักดันเรื่องนี้ เรื่องกัญชารักษาโรคหลายประเทศทั่วโลกได้แก้กฎหมายจนสามารถทำเป็นผลิตภัณฑ์ออกขายมาหลายปีแล้วและมีเอกสารการวิจัยของสถาบันใหญ่ๆทั้งในอเมริกา แคนาดา อิสราเอล วิจัย จนได้รู้ถึงสูตร สรรพคุณ สารออกฤทธิ์ พร้อมยืนยันได้ว่าสามารถที่จะเยียวยาผู้ป่วย ได้ถึง 100 กว่าโรค
*** หนุนตั้งสหกรณ์ปลูกทั่วประเทศ
ว่าที่ร้อยตรีสมพูนทรัพย์ กล้าวิกรณ์ เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับเรื่องที่เกษตรกรกำลังให้ความสนใจกันมากอยู่ในขณะนี้ก็คือเรื่องการ ปลูกกัญชา ซึ่งสภาเกษตรกรแห่งชาติ ได้พยายามผลักดันมาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้กัญชายังถือว่าเป็นยาเสพติดที่อยู่ใน การควบคุมของกฎหมาย เกษตรกรไม่สามารถนำไปปลูกเองได้อย่างเสรี ดังนั้นทางสภาเกษตรกรแห่งชาติจึงได้พยายามเสนอขอให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กระทรวงยุติธรรม มีการแก้ไขกฎหมายใหม่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรสามารถปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งก็ได้มีการปรับปรุงแก้ไขข้อกฎหมาย ออกมาเรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 และประกาศใช้ตั้งแต่ วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562
เลขาธิการสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นทางสภาเกษตรกรแห่งชาติ ก็ได้มีการหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะทำอย่างไรให้เกษตรกรได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกกัญชาเพื่อใช้ในทางการแพทย์ได้ โดยที่ไม่ตกไปอยู่เฉพาะกับนายทุนเท่านั้น ซึ่งเบื้องต้น ทางสภาเกษตรกรฯได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ขออนุญาตตามกฎหมายนิรโทษกรรม 90 วัน เพื่อนำผู้ป่วยที่ต้อง การนำกัญชาไปรักษาโรคมาดำเนินการรักษาโรคได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ขณะเดียวกันก็ได้ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ เพื่อทำการวิจัยกัญชาสำหรับใช้ในทางการแพทย์ เพื่อเชื่อมโยงกับเกษตรกรในพื้นที่ ในการปลูกกัญชาขายให้ในอนาคต ซึ่งการปลูกกัญชาลักษณะนี้ไม่ใช่การปลูกแบบเสรี แต่ต้องมีใบอนุญาตปลูกเพื่อใช้ในทางการแพทย์อย่างชัดเจนเท่านั้น
โดยเกษตรกรต้องมีการรวมกลุ่มกันเป็นลักษณะสหกรณ์จึงจะสามารถออกใบอนุญาตให้ปลูกกัญชาได้ ซึ่งการเชื่อมโยงต่างๆ เหล่านี้เกษตรกรทั่วไปทำไม่ได้ ดังนั้น ทางสภาเกษตรกรแห่งชาติ จึงเข้ามาเป็นตัวกลางในการประสานงานเชื่อมโยงให้ ทำ MOU กับสถาบันการศึกษาต่างๆ เพื่อทำการวิจัยเพื่อให้การใช้กัญชาในทางการแพทย์มีความแพร่หลายไปทั่วประเทศ อันจะเป็นผลดีต่อเกษตรกรที่ต้อง การปลูกกัญชาต่อไปในอนาคต
*** มูลค่าตลาดโลกแตะ 1.9 ล้านล้าน
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการนำกัญชามาวิจัยเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ว่า เป็นเรื่องที่ภาครัฐควรให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีศักยภาพสูงในการพัฒนาเป็นยารักษาโรค มีงานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันถึงประโยชน์ของกัญชา แต่ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันให้หนักแน่นมากยิ่งขึ้น เพราะกัญชามีสารที่มีผลต่อจิตประสาท อันเป็นคุณสมบัติของสารเสพติดที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ หากบริโภคหรือเสพเกินขนาด เบื้องต้นจึงควรมีการแก้ไขกฎหมายให้สามารถนำสารสกัดจากกัญชามาใช้เป็นยารักษาโรคได้อย่างเต็มที่ สามารถครอบครองกัญชาเพื่อใช้ประโยชน์ในการวิจัยทางการแพทย์รัฐบาลสามารถออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขให้สารสกัดจากกัญชาไม่ถือเป็นยาเสพติด และควบคุมให้มีการใช้เฉพาะทางการแพทย์และพิจารณา แก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษเพื่อปลดล็อกให้มีการใช้สารสกัดจากกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และสุขภาพได้
ส่วนในระยะยาวควรออกกฎหมายเฉพาะเกี่ยวกับกัญชาโดยระบุให้เป็นพืชที่ใช้ทำเป็นยาและสามารถเป็นพืชเศรษฐกิจ รวมทั้งสามารถใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่า ตลาดกัญชาเพื่อการแพทย์ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 55,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท) ภายในปี ค.ศ.2025 อย่างไรก็ตาม ต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ หากการบังคับใช้กฎหมายไม่ดี การกำกับควบคุมไม่ดี อาจนำมาสู่ผลเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่าผลดี