การประชุมรัฐสภาในวาระแถลงนโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. ของวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 และได้เสร็จสิ้นลงไปเมื่อเวลา 03.33 น. วันที่ 27 กรกฎาคม 2562 รวมระยะเวลาอภิปราย 34 ชั่วโมง
การประชุมรัฐสภาครั้งนี้ทำให้มองเห็น “ความพร้อม” ของรัฐบาล เห็น “พฤติกรรม” ของนายกฯ รัฐมนตรี และสมาชิกรัฐสภา ทั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ได้รับการแต่งตั้งด้วยฝีมือของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่บัดนี้ได้สลายตัวลงไป แต่ก็ได้ “คลอด” บริวารเอาไว้ให้ รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส) ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ได้สัมผัสถึงความรอบรู้ของผู้อภิปราย รวมถึงการทำหน้าที่นำการประชุมของประธานในที่ประชุม ทุกอย่างประจักษ์ชัดผ่านการถ่ายทอดทั้งวิทยุและโทรทัศน์ แม้การประชุมจะไม่มีการโหวต แต่ใครที่ติดตามการประชุมย่อมมองเห็น “ความหวัง” และ “ความสิ้นหวัง” ได้..
การประชุมรัฐสภาครั้งนี้ หลายคนอาจพอใจ หลายคนอาจไม่พอใจ แต่สิ่งที่ยืนยันได้ดีคือ “ระบอบประชาธิปไตย” ทำให้ประชาชนได้เห็น ผู้ที่ทำหน้าที่บริหาร และผู้ที่ทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” ทำให้อะไรๆ ที่คลุมเครือมีความชัดเจนขึ้น แม้การปะทะกันระหว่าง 2 ขั้วอาจมีอุณหภูมิเดือดบ้าง แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตาม หากเจาะลึกลงไปที่ “เนื้อหา” ของการแถลงนโยบายรัฐบาลครั้งนี้ โดยก่อนหน้าที่จะมีประชุมรัฐสภาเพื่อแถลงนโยบายรัฐบาลนั้น สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เผยแพร่คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มีทั้งสิ้น 66 หน้า เป็นนโยบายหลัก 12 ด้าน เป็นทิศทางการบริหารของ “รัฐบาล ตู่ 2/1” ที่วางโปรแกรมไว้ใน 4 ปีข้างหน้า ประกอบด้วย
1.การปกป้องและเชิดชูสถาบัน พระมหากษัตริย์ 2.การสร้างความมั่นคงและความปรองดองของประเทศและความสงบสุขของประเทศ 3.การทำนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 4. การสร้างบทบาทของไทยในเวทีโลก 5. การพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของไทย 6.การพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
7.การพัฒนาสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก 8.การปฏิรูปกระบวนการเรียนรู้และการพัฒนาศักยภาพของคนไทยทุกช่วงวัย 9.การพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคม 10.การฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 11.การปฏิรูปการบริหารจัดการภาครัฐ และ 12.การป้องกันและปราบปรามการทุจริต ประพฤติมิชอบและกระบวนการยุติธรรม
ขณะที่ “นโยบายเร่งด่วน” ซึ่ง ไม่ได้กำหนดกรอบเวลา วางธงไว้ 12 ด้านเช่นเดียวกัน อาทิ การแก้ไขปัญหาในการดำรงชีวิตของประชาชน การ ปรับปรุงระบบสวัสดิการและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน มาตรการเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก การช่วยเหลือเกษตรกรและพัฒนานวัตกรรม การยกระดับศักยภาพของแรงงาน การเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21
ทั้ง “นโยบายหลัก 12 ด้าน” และ “นโยบายเร่งด่วน 12 ประการ” เมื่อสำรวจแก่นสารแล้ว ปรากฏว่าไม่มีข้อหนึ่งข้อใดเป็นไปตามที่ “พรรคพลังประชารัฐ” แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ได้ป่าวประกาศไว้ตอนหาเสียงสัญญากับสังคมเลย
ไม่ว่าจะการประกันราคาสินค้าเกษตร ทั้ง ข้าว และ ยางพารา ค่าแรงขั้นต่ำ ประกาศไว้เสียงดังฟังชัดว่า ต้องปรับตัวเป็น 400-425 บาท/วัน เงินเดือนผู้จบปริญญาตรีเริ่มสตาร์ตที่ 2 หมื่นบาทต่อเดือน เงินเดือนผู้จบระดับอาชีวศึกษา 1.8 หมื่นบาทต่อเดือน ผู้สูงอายุ เพิ่มเบี้ยเป็น 1,000 บาท/เดือน ขยายเวลาเกษียณอายุราชการเป็น 63 ปี
หรือ “มารดาประชารัฐ” แค่ตั้งท้องรับเลยเดือนละ 3 พันบาท ค่าคลอด 1 หมื่นบาท ค่าดูแลบุตร-ธิดา 2 พันบาทต่อเดือน ตั้งแต่เกิดจนอายุครบ 6 ปี
ขณะที่การแก้ไข รัฐธรรมนูญ 2560 ฉบับเจ้าปัญหา ที่เป็นเงื่อนไขซึ่ง “พรรคประชาธิปัตย์” ตั้งไว้ก่อนเข้าร่วมผสมกับรัฐบาล ปรากฏว่ามีการ “หมกเม็ด” ไว้ในข้อ 12 “การสนับสนุนให้มีการศึกษา การรับฟังความเห็นของประชาชนและการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” โดยไม่ได้บ่งบอกช่วงเวลาที่จะดำเนินการ
นักวิเคราะห์การเมือง มองว่า เนื้อหาสาระของนโยบายรัฐบาล “ตู่ภาค 2/1” ที่แถลงต่อรัฐสภานั้นไม่ให้น้ำหนักกับกระแสสังคมที่สัญญาไว้ตอนหาเสียง หรืออาจเป็นไปได้ว่า ขาดมันสมอง มือสำคัญเขียนนโยบาย “หน้าตา” นโยบายรัฐบาลขึงออกมาเข้าขั้น “ขี้เหร่”
ขณะที่นโยบายที่แถลงต่อ “รัฐสภา” นั้นก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะระยะสั้นหรือระยะยาว ไม่ค่อยมีสาระนั้น ในทางกลับกัน แกนนำรัฐบาลกลับให้ความสำคัญในการจัดวางตัว “องครักษ์พิทักษ์ รมต.” มากกว่า โดยเฉพาะ “พี่น้อง 3 ป.” ที่ประกอบด้วย “ป.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ “ป.ป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกฯ และ “ป.ป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” รมว.มหาด ไทย น่าจะโดนฝ่ายค้าน “ล็อกเป้า” รุมถล่ม เนื่องจาก “3 พี่น้อง” เพิ่งได้เข้ามาสู่วงจรประชาธิปไตย อาจไม่ค่อยสันทัดกับการถูกซักฟอก
แต่ “เวทีการเมือง” นั้นเป็นเหรียญ คนละด้าน เมื่อ “3 ป.” โดนเข้าไปดอกสองดอก แล้วเก็บอาการไม่อยู่ น็อตหลุดกลางอากาศ ขณะที่พวกอีโก้จัด เด็กๆ อวดฉลาด แม้พยายามคอยทำหน้าที่องครักษ์ขึ้นมาขัดจังหวะ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ด้วยเหตุที่ว่าพรรคฝ่ายค้านร่วมซึ่งมี 7 พรรค “รู้เขารู้เรา” ช่วงชำแหละ นโยบายที่รัฐบาลจะแถลงต่อรัฐสภาจะใช้เวลาอันจำกัดที่โควตาซึ่งแต่ละพรรคได้รับโชว์ลีลา “ยืดเส้นยืดสาย” ถลุงนโยบายอย่างเดียว ไม่แตะต้อง “ตัวบุคคล” มากนัก
อาจจะเฉียดๆ สีข้าง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” บ้าง เพราะอภิปรายนโยบายนั้น ตามรัฐธรรมนูญก็ไม่มีความหมายว่าจะ “ล้มกระดาน” ใครได้
ขณะที่ “คิว” ต่อไปคือการผ่าน “ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563” จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 200,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.7% จากงบปี 2562 นี้มี “เดิมพัน” เพราะ 1.รัฐบาลไม่มีสมาชิกวุฒิสภาร่วมการประชุม 2.สภาผู้แทนราษฎรต้องโหวตผ่านกฎหมายฉบับนี้ด้วย ถ้าไม่ผ่านรัฐ-บาลต้องลาออก ดังนั้น ในสภาพที่รัฐบาลมีเสียงในสภา “ปริ่มน้ำ” จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องวางแผนรับมืออย่างดี
ว่ากันว่างานนี้ฝ่ายค้าน “เก็บกระสุน” ข้อมูลที่เป็นทีเด็ดเอาไว้ ซักซ้อมทำการบ้าน เอาไว้ช่วงชำแหละพ.ร.บ.งบประมาณ และรอ “เผาจริง” ตอนเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม
“อดใจรออีกนิด จะได้ดูชมของดี”..!!