“กลุ่มธุรกิจ TCP” ท้าชนยุค Disrupt การันตรีไม่ปลดพนักงาน ปรับองค์กรสู่ Innovation Hub รองรับการเติบโตระดับโลก

วันอาทิตย์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2562

“กลุ่มธุรกิจ TCP” ท้าชนยุค Disrupt การันตรีไม่ปลดพนักงาน  ปรับองค์กรสู่ Innovation Hub รองรับการเติบโตระดับโลก


นายสราวุฒิ อยู่วิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจ TCP  ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเครื่องดื่มภายใต้แบรนด์กระทิงแดง (เรดบูล) เรดดี้ โสมพลัส สปอนเซอร์ แมนซั่ม เพียวริคุ ซันสแนค และวอริเออร์ กล่าวว่า ในยุคที่ทุกอย่างในโลกกำลังถูก Disrupt ทุกคนต้องปรับตัว การเตรียมคนให้พร้อมเพื่อเป็นพลังที่จะขับเคลื่อนองค์กรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ด้วยวิสัยทัศน์ของกลุ่มธุรกิจ TCP ในฐานะคนไทยที่เป็นเจ้าของแบรนด์ระดับโลก ที่มีสาขาในต่างประเทศ และมีพันธมิตรทางธุรกิจอยู่ทั่วทุกมุมโลก บริษัทจึงได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 1,300 ล้านบาท  ทำการปรับโฉมองค์กรสู่การทำงานบนแพลตฟอร์มดิจิทัล ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจ 5 ปี ที่ได้ประกาศไว้เพื่อมุ่งหวังพัฒนาบุคลากรทุกระดับชั้นให้สามารถรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา รวมถึงมุ่งสร้างยอดขายของกลุ่มให้โตขึ้น 3 เท่าเป็น 100,000 ล้านบาท ก้าวไปสู่การเป็นบริษัทข้ามชาติ (Multinational Company) ของคนไทยอย่างแท้จริง”

ด้าน นายประกรรษ์ จันทร์ทอง ผู้อำนวยการสายงานทรัพยากรบุคคลและธุรการ กลุ่มธุรกิจ TCP กล่าวเสริมว่า กลุ่มธุรกิจ TCP เป็นองค์กรใหญ่ที่มีคนหลากหลาย การหลอมรวมให้คนที่มากประสบการณ์กับคนรุ่นใหม่ มีความคิดและการกระทำที่คล้ายกันถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เราจึงได้ออกแบบการทำงานขึ้นมาใหม่ เพื่อให้พนักงานทุกคนได้ก้าวข้ามเฟรมเวิร์คเดิมสู่นวัตกรรมใหม่ ที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับกระบวนการทำงาน เพื่อพัฒนาศักยภาพของพนักงานให้มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ดึงดูดคนเก่ง และคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมงานมากขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระดับโลก ภายใต้แนวคิด 3C ประกอบด้วย

C 1เปลี่ยนรูปแบบสำนักงานใหม่ สู่การเป็นองค์กรแห่งการสร้างนวัตกรรม ด้วยการที่บริษัทได้ลงทุนงบราว 740 ล้านบาท สร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ติดกับสำนักงานปัจจุบัน บนเนื้อที่ราว 6 ไร่ มีความสูง 4 ชั้น ด้วยการออกแบบให้สอดรับกับการทำงานรูปแบบใหม่ กับแนวคิด Open Office พื้นที่ทำงานจึงเปิดโล่ง พร้อมจัดสรรพื้นที่กว่า 30% เป็นพื้นที่ส่วนกลางระหว่างแผนกเพื่อใช้เป็นที่พบปะ แลกเปลี่ยนความคิด รวมทั้งใช้จัดกิจกรรมสันทนาการต่างๆ ให้กับพนักงาน นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งระบบเทคโนโลยีอันทันสมัย เชื่อมต่อการทำงานกับอุปกรณ์ของพนักงานทั้งในสำนักงานใหญ่ สาขาในต่างจังหวัด และสาขาต่างประเทศได้สะดวก รวดเร็วขึ้น โดยเริ่มก่อสร้างในปี 2562 และคาดว่าจะแล้วเสร็จเปิดใช้งานได้ในปีพ.ศ. 2564 และจะสามารถรองรับพนักงานใหม่ได้เพิ่มขึ้นอีกราว 250 คน อีกทั้ง ภายหลังเปิดใช้สำนักงานใหญ่แห่งใหม่แล้ว สำนักงานปัจจุบันก็จะมีการปรับปรุงใหม่ ภายใต้แนวคิดเดียวกัน

 C 2เปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ สร้างองค์กรยืดหยุ่นแต่ทรงพลัง ยุคปัจจุบันนวัตกรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ เราจึงได้มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อให้รูปแบบการทำงานใหม่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเราจะเปิดโอกาสให้พนักงานสามารถมี Virtual Office ที่เป็นเสมือนสำนักงานเคลื่อนที่ได้ เพียงแค่มีโน้ตบุ๊ค หรือโทรศัพท์มือถือ ก็สามารถที่จะสื่อสารข้อมูลผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conferencing หรือ Teleconferencing) ส่งเอกสารแลกเปลี่ยนกัน และยังสามารถพูดคุยกันแบบเห็นหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่สำนักงาน พนักงานอาจจะทำงานที่บ้าน หรือที่ co-working space ในเมืองที่บริษัทจัดหาให้ อยู่ต่างจังหวัด หรือแม้แต่ในต่างประเทศ ทำให้องค์กรสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้โดยไม่สะดุด นอกจากนั้นยังนำแนวคิดการทำงาน agile รวมทั้ง scrum มาใช้ทำให้เกิดการทำงานร่วมกันแบบ cross functional และ cross generation มุ่งหวังให้เกิดการทำงานเป็นทีมอย่างไร้รอยต่อ โดยเฉพาะการทำงานกับสาขาในต่างประเทศ หรือการตลาดโกลเบิล ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันกับทีมการตลาดของแต่ละประเทศ

และ C 3เปลี่ยนเทคโนโลยีใหม่  ไม่ว่าจะเป็น Internet of Things, Virtual Reality, AI, Cloud Computing หรือเทคโนโลยีหุ่นยนต์ เหล่านี้ล้วนมีศักยภาพในการเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้ต่างไปจากเดิมได้อย่างสิ้นเชิง เราจึงได้ลงทุนราว 560 ล้านบาท นำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมการทำงานให้กับทีม ไม่ว่าจะเป็นการทำ virtual office หรือการนำ AI Chatbot มาใช้ในการสื่อสารกับพนักงาน และกับลูกค้าของบริษัท รวมถึงการจัดตั้งทีมงาน ‘Incubator’ ที่สนับสนุนให้พนักงานได้เรียนรู้ ทดลอง และทดสอบไอเดียใหม่ๆ หรือ “ผลิตภัณฑ์หรือบริการต้นแบบ” (Prototype) ของพวกเขา อันจะนำไปสู่การคิดค้นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่โดนใจลูกค้า

เรามุ่งหวังให้ TCP เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม (Innovation Hub) มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา และเพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถก้าวไปข้างหน้าตามเจตนารมณ์ การพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็น เราจึงลงทุนเพิ่มอีก 80 ล้านบาท ในการฝึกอบรม ช่วยเหลือ และเพิ่มพูนความรู้ให้กับทีมงาน เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และเราจะไม่มีการปลดพนักงาน ตรงกันข้ามเราจะสร้างให้เขามีความมั่นคงในอาชีพ และรายได้ รวมถึงเปิดรับคนดี คนเก่ง คนรุ่นใหม่ เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตในระดับโลกต่อไป โดยการปรับโฉมองค์กรทั้งหมดครั้งนี้เพื่อให้การทำงานอยู่บนดิจิทัลแพลตฟอร์มที่สมบูรณ์ จะแล้วเสร็จภายในปี นายประกรรษ์ กล่าวทิ้งท้าย



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ