แพทย์หญิง อรอินท์ เรืองวัฒนสุข กรรมการบริหาร บริษัท เอส.เอส.แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด และผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์ ดร.สมชาย กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจเครื่องสำอางในประเทศไทยปี 2562 มูลค่าตลาดที่มีมากกว่า 170,000 ล้านบาท ตลาดหดตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 และคาดว่าน่าจะต่อเนื่องถึงไตรมาสที่ 3 และ 4 เป็นผลเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย สงครามทางการค้า และการแข่งขันที่รุนแรงในประเทศ นอกจากนั้น ธุรกิจยั่งยืนหรือ “Sustainable Business” หรือการดำเนินธุรกิจที่พัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมให้เติบโตไปพร้อมกัน แบบเดิม กำลังถูกท้าทายด้วย start up model ใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น ถือว่าเป็นความท้าทายที่ ทำให้บริษัทต้องยืดหยุ่นและเคลื่อนไหวว่องไวในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น
สำหรับ ดร.สมชาย ถือเป็นแบรนด์เวชสำอางเจ้าแรกในประเทศไทยที่มีการค้นคว้าและวิจัยมาโดยตลอด โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา บริษัทฯได้ใช้งบในการค้นคว้าและวิจัยสูงกว่า 6% จากรายได้ ล่าสุดเรา ได้จดสิทธิบัตรยา small molecule สำหรับฆ่าเซลล์มะเร็งที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และในปีนี้ มีแผนการจดสิทธิบัตรยาต้นแบบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา อีก 2 ตัว และตั้งเป้าไว้ว่าอีก 5 ปี จะจดเพิ่มให้ได้เกิน 5 ตัว ตรงนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับบริษัทในประเทศไทยที่ต้องการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมระดับสูง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ลงทุนด้านการวิจัยด้วยการเปิดบริษัท ไบโอเทค ที่สิงค์โปร ศึกษาวิจัยด้วยการใช้เทคนิคใหม่ CRISPR เพื่อพัฒนากระบวนการใหม่ในการสร้างโปรตีนรักษาโรค โดยมีกลุ่มทุนจากประเทศบราซิล และประเทศดูไบให้ความสนใจร่วมทุนด้วย
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจภายใต้แบรนด์ ดร.สมชาย ปีนี้ ได้วางแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ราว 10 รายการ เน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านชะลอวัยมากขึ้น รองรับกับการที่ประเทศไทยจะเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว แต่ทั้งนี้สินค้าหลักยังเป็นกลุ่มสิว สัดส่วน 25% โดยตลาดของเวชสำอางหรือรักษาสิว มูลค่ารวมตลาดอยู่ที่ 1,000 กว่าล้านบาท แบรนด์ ดร.สมชาย ยังคงอยู่หนึ่งในสามของตลาดดังกล่าว โดยปัจจุบันแบรนด์ ดร.สมชาย มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 30% และสัดส่วนที่เหลือเป็นสินค้าในกลุ่มกันแดด ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ไวท์เทนนิ่ง เป็นต้น
สำหรับแผนการขยายตลาดส่งออกต่างประเทศ บริษัทตั้งเป้าจะทำการขยายเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของตลาดเดิม และการหาตลาดประเทศใหม่ๆ อีก ด้วยกลยุทธ์การตั้งตัวแทนจำหน่าย ซึ่งจะเน้นตลาดในเอเซียเป็นหลักทั้งนี้ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้เข้าไปทำตลาดทั้งหมดแล้ว เช่น เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ ยกเว้นอินโดนีเซีย และ มาเลเซีย โดยบริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดสัดส่วนส่งออกจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ภายในปี 63 สำหรับโดยรายได้รวมปีนี้คาดว่าจะเติบโต 15%