นายอวนิช บาจาจ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เคลล็อกส์ ประเทศไทย จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่าย พริงเกิลส์ (Pringles) กล่าวว่า “พริงเกิลส์ เป็นมันฝรั่งกระป๋องที่ครองใจคนทั่วโลกมากว่า 40 ปี ด้วยการเปิดตัวในยุโรป เอเชีย และอเมริกาใต้ และขยายตัวอย่างรวดเร็วไปยังตะวันออกลางและแอฟริกา ปัจจุบันมีสินค้าวางจำหน่ายกว่า 140 ประเทศทั่วโลกและมีรสชาติที่ถูกพัฒนาไปตามความต้องการของแต่ละท้องถิ่นกว่า 140 รสชาติ โดยรสชาติที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกคือ พริงเกิลส์ รสซาวครีม และหัวหอม
สำหรับแบรนด์พริงเกิลส์ เราได้เข้ามาทำตลาดมันฝรั่งในประเทศไทยนานกว่า 20 ปี แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาสินค้าหลักของพริงเกิลส์ที่นำมาวางจำหน่ายที่ไทยจะมีอยู่แค่ 2 รสชาติคือ รสออริจินัลกับซาวด์ครีมและหัวหอม ซึ่งรสชาติจะไม่ค่อยถูกปาก ของคนไทยมากนักเนื่องจากมีความเป็นฝรั่งอยู่มาก ดังนั้นระยะเวลาที่ผ่านมาเราจึงพยายามจะพัฒนาสินค้าและรสชาติใหม่ ๆ อย่างไรให้ถูกใจความต้องการของคนไทยมาโดยตลอด เลยเริ่มมีความคิดว่าเราต้องปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้กลายเป็นสินค้า ‘ลูกครึ่ง’ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับความต้องการผู้บริโภคคนไทย เนื่องจากประเทศไทยของถือเป็นตลาดหลักของพริงเกิลส์ที่มีการเติบโตมากติดอันดับท็อป 5 ในเอเชีย ดังนั้น เมื่อปลายปีที่ผ่านมาบริษัทจึงได้ทำการปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ในรอบ 20 ปี ซึ่งเรื่องแรกที่เราต้องทำการปรับเลยคือเรื่องของรสชาติ โดยได้เปิดตัวรสชาติยอดฮิต “ต้มยำทรงเครื่องและสวีทชิลลี่” เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคคนไทยที่ชอบรสชาติอะไรแบบไทยๆอย่างรสจัด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเปรี้ยวสุดหรือไม่ก็เผ็ดสุด ร่วมไปถึงการปรับขนาดให้เหมาะกับช่องทางขาย โดยเพิ่มไซส์สินค้า 42 กรัม ราคา 20 บาท จำหน่ายในร้านสะดวกซื้อ จากเดิมจะเน้นกระป๋องใหญ่ 107 กรัม และยังได้ออกแพ็กเกจจิ้งแบบซองเข้ามาวางขายใน 7-Eleven ราคา 20 บาท ด้วย ซึ่งถือเป็นประเทศไม่กี่ประเทศในโลกที่พริงเกิลส์ทำตลาดอยู่มีแบบซอง เพราะจุดเด่นของแบรนด์พริงเกิลส์จะเป็นรูปแบบกระป๋องมาตั้งแต่แรก จึงทำให้พริงเกิลส์ถือครองตลาดมันฝรั่งกระป๋องเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 90% โดยรสชาติที่ขายดีที่สุดคือ รสซาวครีมและหัวหอม
ล่าสุดนี้ เพื่อเป็นการสานต่อกลยุทธ์ดังกล่าวเราจึงได้จับมือร่วม “เถ้าแก่น้อย” ซึ่งเป็นสาหร่ายปรุงรสยอดขายอันดับ 1 ในประเทศไทย ในการ Co-Branding พัฒนาสินค้ารสชาติใหม่ร่วมกัน ที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและเอเชียได้อย่างลงตัว ด้วย 3 รสชาติใหม่ โดยดึงรสชาติยอดนิยมของแต่ละแบรนด์ ออกมาเป็น พริงเกิลส์รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อยคลาสสิก พริงเกิลส์ รสสาหร่ายเถ้าแก่น้อย เผ็ด และ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย รสพริงเกิลส์ ซาวครีมและหัวหอม ในเบื้องต้นมีสัญญาทำตลาดร่วมกัน 1 ปี โดย พริงเกิลส์ จะจำหน่ายทั้ง 2 รสชาติสาหร่ายเถ้าแก่น้อยใน 14 ประเทศ ในเอเชียและโอเชียเนีย การทำตลาดรสชาติไทยถือเป็นการเชื่อมโลคัลกับตลาดโลก และหลังจากนี้มีแผลนจะออกสินค้ารสชาติใหม่เพิ่มปีละ 4 - 5 รายการ จากเดิม 2 - 3 รายการเท่านั้น และเพิ่มรสชาติตามฤดูกาลของไทยมากขึ้น
จากกลยุทธ์ดังกล่าววางเป้าหมายยอดขายเติบโตสูงกว่าตลาดสแน็ก จากปัจจุบันพริงเกิลส์ มีส่วนแบ่งทางการตลาด 8% ปีนี้คาดว่าจะเป็นตัวเลข 2 หลัก โดยตลาดสแน็กมีมูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท เป็นตลาดมันฝรั่งทอดกรอบ 12,499 ล้านบาท เติบโต 14.3% มีเจ้าตลาดหลัก คือ ‘เลย์’ ครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่กว่า 70%
ด้านนายสมิทธิ จีรนันทน์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู้ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าว ว่า “เถ้าแก่น้อยเองก็เป็นสาหร่ายที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 รสชาติถูกปากคนไทย และมีจำหน่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก โดยมุ่งเน้นการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ชอบความแปลกใหม่ เราหวังว่าการ Co-Branding ครั้งนี้จะสร้างความสนใจให้เกิดขึ้นกับลูกค้าต่างชาติ อาทิ แถบยุโรป อเมริกา แอฟริกา ที่มาท่องเที่ยวในเอเชีย และยังไม่เคยรู้จักหรือลองแบรนด์เถ้าแก่น้อยอีกด้วย
สำหรับตลาดขนมขบเคี้ยวในปี 2562 คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่ารวมกว่า 38,000 ล้านบาท โดยตลาดมันฝรั่งทอดกรอบมีมูลค่าอยู่ที่กว่า 12,499 ล้านบาท เติบโต 14.3% ในขณะที่ตลาดสาหร่ายปรุงรสมีมูลค่าตลาดที่ 3,000 ล้านบาท เถ้าแก่น้อยถือครองส่วนแบ่งตลาดที่ 70% เติบโตจากเดิม 5% โดยมีสินค้าเด่นในปี 2562 ได้แก่ สาหร่ายย่าง เถ้าแก่น้อย BigRoll ที่เติบโตมากกว่า 40% และเถ้าแก่น้อยเทมปุระไข่เค็ม ที่เพิ่งฉลองยอดขาย 2 ล้านซองทั่วโลกเมษายน 2562 ที่ผ่านมา