ผุด ‘แบงก์’ เจาะสินเชื่อต้นไม้ กฤษณา..ฮอต 5 แสนล้าน!

วันศุกร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2562

ผุด ‘แบงก์’ เจาะสินเชื่อต้นไม้ กฤษณา..ฮอต 5 แสนล้าน!


กลุ่มทุนจีน-ตะวันออกกลางจับมือนักธุรกิจไทยตั้ง ‘อะการ์วูดแบงก์’ ปล่อยสินเชื่อโดยใช้ต้นไม้ 58 ชนิดค้ำประกัน รับกระแสต้นกฤษณาฮอทชาวอาหรับรับไม่อั้น ผุดกองทุนส่งเสริมการปลูก 5 หมื่นล้าน ให้รายละ 1.5 หมื่นบาท ปลอดดอกเบี้ย 5 ปี หวังการันตีสินค้าไม่ขาดตลาด

นายเฉลิมชัย สมมุ่ง ประธานกรรม-การบริหาร บริษัท อะการ์วูดแพล้นส์ (ไทยแลนด์) จำกัด และ บริษัท อะการ์วูด ลิสซิ่ง จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าสืบเนื่องจากเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ประกาศให้ไม้ยืนต้น 58 ชนิดสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับสถาบันการเงินสำหรับปล่อยสินเชื่อได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันไม้หลักที่สามารถนำมาค้ำประกันต้นไม้เพื่อแลกเงินได้เร็วที่สุดคือไม้กฤษณา สามารถทำได้ก่อนไม้ชนิดอื่นเพราะไม่ติดเรื่องกฎหมายการตัดโค่นเคลื่อนย้าย ซึ่งเป็นกฎหมายนานาชาติในอนุสัญญาไซเตส สามารถตัดเคลื่อนย้าย ส่งออกไปได้ทั่วโลก ขณะที่ไม้ชนิดอื่น เช่น ไม้สัก ยังส่งออกไม่ได้ ติดกฎหมายยังเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์ ต้องรอการประกาศกฎหมายปลดล็อกออกมาก่อน ขณะที่กฤษณาเป็นพันธุ์พืชอนุรักษ์บัญชี 2 เมื่อขึ้นทะเบียนแปลงปลูกกับไซเตส กรมวิชาการเกษตรแล้ว ไซเตสจะออกทะเบียนให้เหมือนโฉนดที่ดินสามารถนำมาค้ำประกันขอสินเชื่อได้เลย

*** ฮอตแตะ 3 หมื่นบาทต่อต้น

นายเฉลิมชัย กล่าวอีกว่า นอกจากการเป็นประธานบริหารบริษัทแล้ว ตนยังเป็นประธานวิสาหกิจชุมชนชมรมไม้กฤษณา (ไม้หอม) แห่งประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 2 แสนคนทั่วประเทศโดยอะการ์วูดลิสซิ่งจะปล่อยสินเชื่อ เกี่ยวกับต้นไม้คือนำต้นไม้มาแลกเป็นเงินนั่นเอง รวมถึงให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสินเชื่อรูปแบบนี้กับสถาบันการเงินต่างๆ และฟิโก้ไฟแนนซ์ว่าควรมีกรรมวิธีการปล่อยสินเชื่ออย่างไรที่ไม่ต้องใช้ที่ดินมาประกอบการพิจารณา เพื่อไม่ให้เกษตรกรต้องมีปัญหาถูกยึดที่ดินในภายหลัง

ลีสซิ่งของผมกับวิสาหกิจชุมชน จะทำงานเชื่อมโยงกัน มีคณะกรรมการประเมินต้นไม้ที่นำมาค้ำประกันสินเชื่อ โดยลีสซิ่งของผมจะมีเทคนิคการปล่อยสินเชื่อง่ายๆ สมมติที่ดิน 1 ไร่ ปลูกกฤษณาได้ 300 ต้น เราจะคิดปริมาตรไม้ออกมาเพื่อตีราคาตามมาตรฐานสากลว่าต้นไม้แต่ละต้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดพันธุ์ อายุต้นไม้ รวมถึงทะเบียน ซึ่งจะเป็นตัวบอกประเภทและชนิด อายุการปลูก ซึ่งการปล่อยสินเชื่อของผมและสถาบันการเงินที่ผมเป็นที่ปรึกษาจะประเมินแค่ต้นไม้เท่านั้น ไม่ได้ประเมินที่ดิน เพราะเราไม่ต้องการยึดที่ดินของเกษตรกรหากมีปัญหาไม่สามารถชำระสินเชื่อได้ตามกำหนด

โดยจะให้สินเชื่อ 80% ของราคาประเมิน วัดจากความโตของต้นไม้ คือวัดจากโคนต้นขึ้นไป 1.30 เมตรทำเส้นรอบวงเรียกว่าความโต ใช้สูตร โตxโตxสูงx7.96 หารด้วย 1,000,000 จะออกมาเป็นปริมาตรไม้ จากนั้นก็ดูราคาต้นไม้ซึ่งมีเรตเทียบได้เลย ต้นไม้อายุ 8-10 ปีราคาเท่าไหร่ 10-15 ปีราคาเท่าไหร่ เช่นต้นไม้ 15 ปีราคาประเมินที่ยังไม่กระตุ้นให้เกิดน้ำมันอยู่ที่ลูกบาศก์เมตรละ 15,000 บาท ซึ่งปกติไม้อายุ 15 ปีจะมีปริมาณครึ่งลูกบาศก์เมตรต่อต้น แต่ถ้า 17-20 ปีประมาณ 1 ลูกบาศก์เมตร ถ้า 20 ปีขึ้นไปก็จะมีปริมาณ 2-3 ลูกบาศก์เมตร บางต้น 5 ลูกบาศก์เมตรก็มี ซึ่งต้องดูชนิดพันธุ์ด้วย และการประเมินราคากฤษณาจะมีมูลค่าสูงเมื่อเกิดน้ำมัน ถ้าเขากระตุ้นให้เกิดน้ำมันโดยเทคนิคที่เราอบรมจาก 15,000 บาทอาจจะกลายเป็น 30,000 บาท/ลูกบาศก์เมตร” นายเฉลิมชัย กล่าว

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า ปกติการ กระตุ้นน้ำมันจะเกิดในปีที่ 6-8 ขึ้นไป ใช้เวลากระตุ้นประมาณปีครึ่งจะเกิดน้ำมันเป็นจุดดูดออกมา 6 เดือนเก็บ 1 ครั้ง เก็บแถวเว้นแถว เท่ากับปีหนึ่งเก็บ 2 ครั้ง เก็บแบบนี้ไปจนถึงปีที่ 5 หลังจากนั้นจะ           หยุดดูดน้ำมัน ส่วนแก่นที่กิ่งยังสามารถ   ตัดขายได้ ราคาแก่นจะแพงมาก กิโลกรัมละเป็นแสนถึงล้านบาท ซึ่งการให้สินเชื่อจะมีวิธีการคำนวณน้ำมันและแก่น โดยเกษตรกรสามารถจะขอสินเชื่อกับสถาบันไหนก็ได้

*** ผุดอะการ์วูดแบงก์ปล่อยสินเชื่อ

นายเฉลิมชัย กล่าวต่อว่า สำหรับลีสซิ่งของตนปัจจุบันมีเกษตรกรหลายรายขอสินเชื่อ โดยรายแรกที่มาขอสินเชื่อได้รับการอนุมัติวงเงิน 5 ล้านบาท ไม้ที่นำมา ค้ำประกันประมาณ 1,500 ต้น อายุ 15 ปี แปลงนี้ประเมินสินเชื่อได้ประมาณ 19 ล้านบาท แต่เจ้าของต้องการแค่ 5 ล้านบาท

ข้อดีของกฤษณาคือควรปลูกกับ ไม้อื่น เช่น ปลูกผสมผสานกับยางพารา แต่ต้องไม่ใช้สารเคมีเด็ดขาด เพราะเขาเอาไปทำยา”

ทั้งนี้ ปัจจุบันกำลังจัดตั้งกองทุนไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ  และอยู่ในขั้นตอนดำเนินการขอจัดตั้งธนาคารอะการ์วูด สำหรับกองทุนฯได้รับการสนับสนุนจากผู้ซื้อต่างประเทศจำนวน 5 หมื่นล้านบาท เป็นเงินปลอดดอกเบี้ยสำหรับสมาชิกเก่าที่ปลูกต้นไม้ไปแล้ว        เพื่อส่งเสริมการปลูกรายละ 1.5 หมื่นบาท จ่ายคืนภายใน 5 ปี เพิ่งเริ่มทำ ตอนนี้มีเกษตรกรยื่นความจำนงเข้ามาค่อนข้างมาก โดยยื่นที่ศูนย์บริหารวิสาหกิจชุมชนชมรมไม้กฤษณา (ไม้หอม) แห่งประเทศไทย อำเภอบ่อไร่ จังหวัดตราด

 “สำหรับกองทุนในช่วงแรกจะเปิดให้กับสมาชิกเก่า เนื่องจากตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีเขาก็อยากขยายพื้นที่ปลูก เขาก็มีสิทธิ์ได้รับก่อนคือรายละ 1.5 หมื่นบาท เป็นเวลา 5 ปี พอ 5 ปีก็ขึ้นทะเบียนแปลงปลูก จากนั้นนำต้นไม้ไปเข้าลีสซิ่งขอสินเชื่อได้ คือนำต้นไม้มาแลกเงิน คล้ายๆ กับรถแลกเงิน ส่วนธนาคารเป็นข้อเสนอของผู้ซื้อ  ซึ่งมีทั้งตะวันออกกลางและจีน โดยเขาอยากตั้งธนาคารอะการ์วูดในเมืองไทยอยู่ระหว่างดำเนินการ ผมถือหุ้น 51% ต่างประเทศ 49% วัตถุประสงค์เพื่อให้สินเชื่อและส่งเสริมการปลูกไม้กฤษณาและไม้เศรษฐกิจ โดยเฉพาะไม้กฤษณาซึ่งเป็นสินค้าปัจจัยสำคัญทางศาสนาที่ขาดไม่ได้ และคุณสมบัติของกฤษณายังมีสาร ประกอบ 107 ชนิดเป็นยา 80% ผู้ซื้อจึงต้องการซื้อขายล่วงหน้า เพราะถ้าเขาไม่ส่งเสริมให้เราปลูกเขาอาจไม่มีใช้ ประกอบกับตอนนี้เทคโนโลยีของเราดีที่สุดในโลก เมื่อเขาต้องการสินค้ามากเขาก็จึงยินดีจ่ายเงินเรามาก่อน” 

ปัจจุบันมีผู้ปลูกไม้กฤษณาประมาณ 2 แสนคนทั่วประเทศ พื้นที่ 8 ล้านไร่ คิดเป็นต้นกฤษณา 25 ล้านต้น หลังการจัดตั้งกองทุนและธนาคารตั้งเป้าเพิ่มกฤษณาไว้ที่ 100 ล้านต้น หรือมีมูลค่าทางเศรษฐกิจประมาณ 5 แสนล้านบาท

 “ปกติกฤษณาปลูกได้เฉพาะพื้นที่ ชอบชื้น แต่ไม่ชอบแฉะ อย่างในภาคกลางปลูกไม่ได้เพราะมีปัญหาน้ำท่วม น้ำแฉะ พื้นที่เหมาะสมดีที่สุดในโลกคือภาคตะวันออก จังหวัดตราด เป็นถิ่นกำเนิดไม้กฤษณาที่ดีที่สุดในโลก ภาคใต้ก็ดี อย่างไรก็ตาม การปลูกกฤษณาไม่ใช่มีเงินจะไปซื้อปลูกได้เลย ต้องไปศึกษาก่อน ไปดูให้เห็นว่าต้นไม้ปลูกอย่างไร โตแล้วทำอย่างไร และที่สำคัญต้องไม่ใช้สารเคมีเด็ดขาด” นายเฉลิมชัยกล่าวปิดท้าย

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ