สุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ในไทยมูลค่าประมาณหมื่นล้านบาท พบว่าปีนี้มีไม่เติบโตหรืออยู่ในสภาวะทรงตัว อาจจะเป็นเพราะเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวอยู่ ประกอบกับภาพยนต์ที่เข้าฉายส่วนใหญ่ในช่วงไตรมาสผ่านมายังไม่มีหนังฟอร์มยักษ์ที่ทํารายได้ดีเข้าฉายมากนัก แต่ตนเองมองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายปลายปีนี้ธุรกิจโรงภาพยนตร์กลับมาคึกคักและเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากมีหนังฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศและหนังไทยที่น่าสนใจเตรียมเข้าฉายอยู่ประมาณ 12 เรื่อง ด้วยกันโดยคาดว่าจะส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์กลับมาเติบโตเกือบ 10% แต่ในส่วนของทาง เอส เอฟ คาดว่าภาพรวมปีนี้จะเติบโตเป็นตัวเลขประมาณ 2 หลัก
อย่างไรก็ตาม จากเมื่อปีที่แล้วเราได้ทำการเปิดตัว sf movie club card ไปทำให้ทางเอสเอฟได้เรียนรู้และพบว่าสำหรับบัตรดังกล่าวยังไม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคโดยเฉพาะความไม่ยืดหยุ่นของการ์ดเพนพอยท์ ดังนั้น เอสเอฟเราต้องมีการปรับตัวและกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อต้องการตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ตรงจุด เพราะเราเน้นกลยุทธ์แบบ customer centric เอาลูกค้าเป็นที่ตั้งเนื่องจากปัจจุบันบัตร SF Movie Club Card มีเมมเบอร์ขณะนี้อยู่ราว 600,000 ราย โดยแบ่งสัดส่วนเป็น Student 50%, General 30%, Kids 10% และ Senior 10% ดังนั้น เราต้องการที่จะรักษาฐานลูกค้าดังกล่าวไว้ พร้อมกับตั้งเป้าจะเพิ่มฐานลูกค้าสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2 ล้านรายในปีหน้า
ล่าสุด เราได้ เปิดตัวบัตรสมาชิก SF+ (เอส เอฟ พลัส) เพื่อตอบสนองและมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าที่รักการชมภาพยนตร์ โดยลูกค้าสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้ฟรีและรับสิทธิ์สะสมตามจำนวนภาพยนตร์ที่รับชม เพื่อแลกของรางวัลต่างๆ อาทิ บัตรชมภาพยนตร์ที่นั่งพรีเมียม 1 ที่นั่ง, ชุดป๊อปคอร์นและเครื่องดื่มขนาดกลาง 1 ชุด, บัตรชมภาพยนตร์ที่นั่ง Sofa Sweet 1 คู่, บัตรชมภาพยนตร์ที่นั่ง First Class 1 ที่นั่ง เป็นต้น ซึ่งการสะสมสามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นหรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ได้อีกด้วย อีกทั้ง สมาชิก SF+ สามารถซือแพ็กเกจเพือใช้เป็นส่วนลดได้ตามไลฟ์สไตล์การชมภาพยนตร์ทีเหมาะสมกับตนเอง ไม่ว่าจะเป็น แพ็กเกจโปรตาม GEN ทีตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละวัยได้ชมภาพยนตร์ในราคาพิเศษพร้อมสิทธิพิเศษที หลากหลาย หรือแพ็กเกจตามประเภททีนัง เพือสัมผัสประสบการณ์ชมภาพยนตร์ทีเหนือระดับ ทั้ง แพ็กเกจ The VIP สําหรับลูกค้าทีชืนชอบการชมภาพยนตร์ทีนังรูปแบบพิเศษโดยเฉพาะ และ แพ็กเกจ The First สําหรับทีนัง First Class และที่นั่งรูปแบบพิเศษอื่นๆ
ผู้บริหาร กล่าวทิ้งท้ายว่า หลังจากปีที่ผ่านมาเราได้ทุ่มงบไปกว่า 100 ล้านบาท ในการพัฒนาระบบไอทีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเวปไซต์ แอปพลิเคชั่น เป็นต้น เพื่อสร้างความสะดวกสบายความบันเทิงต่าง ๆ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิตอล ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาด้านดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้ามีแผนจะนำระบบ AI มาใช้พัฒนาระบบแอปพลิเคชั่นที่ปัจจุบันมีอยู่แล้วให้ล้ำก้าวหน้าเข้าไปอีกขั้น พร้อมกับจะจัดทำฐานดาต้าของลูกค้าจากบัตรสมาชิก SF+นี้เพื่อนำไปต่อยอดเป็นการทำ customized promotion ในอนาคตอีกด้วย
นอกจากนี้เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบันบริษัทก็ได้ทำการปรับลดจำนวน Box office (เค้าเตอร์จำหน่ายตั๋ว) จากเดิมที่มีจำนวน 14 เครื่อง ลดลงเหลือเพียงจำนวน 3 เครื่อง ในโรงภาพยนต์ทุกสาขาของ SF ปัจจุบันที่มีอยู่ 64 สาขา เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคหันไปนิยมซื้อตั๋วผ่านแอปพลิเคชั่นและตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติหน้าโรงหนังเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยปัจจุบันสัดส่วนการเลือกซื้อผ่านช่องทางดังกล่าวอยู่ที่ 80 %
