นายสรรเสริญ สมะลาภา กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ บรรยายในงานสัมมนา “เดอะเน็กซ์ไทยแลนด์ 4.0 ทางออกเศรษฐกิจไทย ฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจโลก” จัดโดย ธนาคารกรุงไทย และ ibusiness.co ว่าปัญหาเศรษฐกิจตอนนี้ทุกท่านทราบดีว่ามาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
หลายสำนักปรับคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2562 ลงมา จากเดิมคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัว 3.8% ปรับลงมาสู่ 3.3% เวลานี้ บางสำนักคาดการณ์เหลือ 2.8% อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์ได้มอบนโยบายให้ผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์เร่งขับเคลื่อนไปข้างหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน โดยกำหนดแนวทางหลักไว้ 3 ประการคือ 1.สร้างรายได้จากฐานรากหรือจากล่างขึ้นบน 2.สร้างรายได้จากบนลงล่าง และ 3.การมองไปที่อนาคต
โดยหนึ่งในกลไกสำคัญของการสร้างรายได้จากฐานรากที่กระทรวงพาณิชย์กำลังขับเคลื่อนอยู่เวลานี้คือ นโยบายประกันราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด ประกอบด้วย ข้าวเปลือก ยางพารา น้ำมันปาล์ม มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ หลักการของการประกันราคาสินค้าเกษตรคือ ต้นทุนทั้งหมดรวมกำไรที่เกษตรกรพึงได้หักด้วยราคาตลาด มีส่วนต่างเท่าไหร่นำมาใช้เป็นเกณฑ์ในการกำหนดราคารับประกัน โดยการประกันราคาข้าวเปลือกล็อตแรกจะถึงมือเกษตรกร ในวันที่ 15 ตุลาคมนี้ เฉพาะในส่วนประกันราคาข้าวเปลือก มีชาวนาเข้าร่วมโครงการ 3.9 ล้านครัวเรือน คิดเป็นประชากรที่ได้ประโยชน์ทั้งสิ้น 11.48 ล้านคน ส่วนปาล์มน้ำมัน เงินประกันล็อตแรกถึงมือเกษตรกรเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมา มีพี่น้องเกษตรกรรับประโยชน์ 3 แสนครัวเรือน ยางพารา เงินประกันล็อตแรกออก 15 ตุลาคมนี้เช่นกัน มีเกษตรกรรับประโยชน์ 1.1 ล้านครัวเรือน ส่วนมันสำปะหลัง และข้าวโพดสำหรับเลี้ยงสัตว์อยู่ระหว่างพิจารณากำหนดเกณฑ์ในการรับประกัน
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีนโยบายพลิกฟื้นโชห่วยที่มีมากกว่า 4 แสนราย ให้เป็นสมาร์ทโชห่วย โดยจะสนับสนุนเรื่องรูปลักษณ์ การจัดวางสินค้า โปรแกรมบัญชี ฯลฯ และจะนำสินค้าโอท็อปที่มีอยู่ทั่วประเทศกระจายผ่านโชห่วย ซึ่งตรงกับนโยบายที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมอบนโยบายต่อผู้บริหารระดับสูงที่ต้องการให้โชห่วยอยู่ได้
นโยบายลำดับสอง ที่กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการคือ ทำจากบนลงล่าง โดยเร่งรัดส่งออกด้วยยุทธศาสตร์ 3 ด้าน คือ ขยายตลาดเดิม เปิดตลาดใหม่ และฟื้นตลาดเก่า ซึ่งได้จัดประชุมทูตพาณิชย์ทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อกำหนดให้ทูตพาณิชย์ต้องทำหน้าที่เป็นเซลล์แมนของประเทศ และต้องค้นหาให้ได้ว่า ประเทศที่ตัวเองไปประจำอยู่นั้น จะขายสินค้าอะไรได้ ขายให้ใคร และใช้วิธีอย่างไร สำหรับนโยบายกลุ่มที่สาม คือ ภาคธุรกิจต้องก้าวไปให้ทันกับเศรษฐกิจยุคใหม่ เช่น ไบโออีโคโนมี (เศรษฐกิจชีวภาพ) กรีนอีโคโนมี (เศรษฐกิจสีเขียว) แชรริ่งอีโคโนมี (เศรษฐกิจแบ่งปัน) ครีเอทีฟอีโคโนมี (เศรษฐกิจสร้างสรรค์) โดยจะเร่งให้เกิดเศรษฐกิจใหม่ๆ ขึ้น