นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารจานด่วน ภายใต้แบรนด์ “เบอร์เกอร์คิง” กล่าวว่า สำหรับแผนและกลยุทธ์การทำตลาดในปี 2563 มุ่งเน้นกลยุทธ์การขยายสาขาร้านเบอร์เกอร์คิงอย่างต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายขยายสาขาปีละประมาณ 10-15 สาขา เทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายสาขาใหม่ไปแล้ว 11สาขาซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ โดยเน้นในพื้นที่กรุงเทพฯ เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่บริการมากขึ้น รวมถึงการขยายสาขาในรูปแบบสแตนด์อโลนตามหัวเมืองหลักในแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งรูปแบบการขยายสาขาของเบอร์เกอร์คิงนั้น ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของพื้นที่และทำเลที่ตั้งของแต่ละสาขา โดยสาขาร้านเบอร์เกอร์คิงกว่า 40% เป็นร้านที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยว อาทิ เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ และสมุย เป็นต้น
ล่าสุด บริษัทได้เปิดสาขาร้านเบอร์เกอร์คิงแห่งใหม่ที่เกาะพีพี ตั้งอยู่บริเวณท่าเรืออ่าวต้นไทร จังหวัดกระบี่ ภายใต้แนวคิด “เบอร์เกอร์หลักร้อย วิวหลักล้าน” สาขาดังกล่าวนับว่าเป็นสาขาที่มีวิวสวยที่สุดของร้านเบอร์เกอร์คิงในประเทศไทย โดยภายในร้านถูกตกแต่งตามสไตล์มาตรฐานแสตนดารด์ของเบอร์เกอร์คิงทั่วโลก เน้นโทนสีน้ำตาลที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ บนพื้นที่ 210 ตร.ม. สามารถรองรับลูกค้าได้ 49 ที่นั่ง
ปัจจุบันมีสัดส่วนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ แบ่งเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทย 10% และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 90% โดยมีเมนูซิกเนเจอร์ อย่าง วอปเปอร์ และเมนูเบอร์เกอร์ต่างๆ รวมถึงเมนูเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นอีกมากมาย ส่วนเมนูข้าวเริ่มต้นเพียง 89 บาทเท่านั้น
นอกจากนี้สาขาดังกล่าวยังลดการใช้ถุงพลาสาติกและหันมาใช้ภาชนะแบบย่อยสลาย อาทิ จาน ถ้วยซอส และภาชนะที่ใส่หลอด ตามนโยบานการดำเนินธุรกิจด้วยการใส่ใจด้านสิ่งแวดล้อมมาตั้งแต่ปี 2561 โดยมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนภาชนะให้เป็นแบบย่อยสลายให้ครบภายในปี 2564
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดเบอร์เกอร์ของไทยปี 2562 ที่ผ่านมา มีมูลค่า 20,000 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง มาจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจของไทย โดยปัจจุบันเบอร์เกอร์คิงมีส่วนแบ่งการตลาด 12% มีสาขารวมทั้งสิ้น 116 สาขา มียอดขายปี 2562 ที่ผ่านมา ที่ 2,094 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 15% เทียบกับปีก่อน และยังมั่นใจว่าจากแผนงานในปีนี้จะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตที่ 15-20% และหากขยายสาขาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ จะทำให้ ณ สิ้นปี 2563 มีสาขารวมทั้งสิ้น 125 สาขา ทั้งนี้ การเข้ามาของธุรกิจ Aggregation เช่น Grab, Food Panda และรายอื่นๆ จะส่งเสริมให้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบเดลิเวอรี่ (Delivery)