นายยาซุชิ โมริยามะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าในปีที่ผ่านมาสถานการณ์สภาวะทางเศรษฐกิจในประเทศไทยอยู่ในความที่ไม่แน่นอนทำให้ภาวะทางการค้าภายในประเทศมีความยากลำบากอย่างมาก จนมาถึงในปีนี้เรามองว่าภาพรวมก็น่าจะยังคงคล้ายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการส่งออกชะลอตัว อัตราการบริโภคภายในประเทศลดต่ำลง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 จนคาดว่าน่าจะส่งผลให้การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หริอ (จีดีพี) ปีนี้เติบโตต่ำกว่าปีที่แล้ว
"ทางมิตซูบิชิฯ เองก็ยอมรับว่าปัจจัยลบดังกล่าวก็ส่งผลในเรื่องของการดำเนินธุรกิจเช่นกัน แต่เรามองว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ยังไม่บงชี้ชัดที่จะส่งกระทบมากนักในตอนนี้ แต่ทางบริษัทก็การประมาณการณ์และเฝ้ามองดูเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด และเตรียมวางแผนแนวทางการรับมือทุกสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา"
ดังนั้นปีนี้บริษัทจึงยังมีความเชื่อมั่นว่าแผนในการดำเนินธุรกิจของเราจะทำให้ยอดขายเติบโตได้ตามเป้าหมายรายได้ปีงบประมาณ 2563 ไว้ที่ 16,700 ล้านาบาท เติบโตขึ้น 8% จากปีงบประมาณ 2562 ที่คาดว่าจะปิดตัวเลขรายได้อยู่ที่ 15,500 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 7% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้า และบริษัทยังคงมีความมั่นใจในศักยภาพของตลาดในประเทศไทยที่ยังคงเป็นศูนย์กลางหลักในภูมิภาคเอเซียที่มีแนวโน้มการเติบโตทางการตลาดได้อีกมากด้วยเหตุนี้เองเราเห็นว่าประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่มีความสำคัญอย่างสูงที่จะส่งเสริมการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง
ด้าน นายทาคาชิ ฟูจิกิ กรรมการและผู้จัดการทั่วไปส่วนการตลาดและการขาย บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด กล่าวต่อว่า ปีนี้บริษัทวางแผนจะมุ่งเน้นทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าใน 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่ม B2C ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และพัดลมระบายอากาศ สำหรับผู้บริโภคโดยทั่วไป และกลุ่ม B2B มุ่งเน้นการขยายไปยังหัวเมืองใหญ่ รวมไปถึงต่างจังหวัดตามการเจริญเติบโตของระบบสาธารณูปโภค อาทิ ร้านค้า โรงแรม เป็นต้น
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ขยายฐานลูกค้าทั่วประเทศ เปิดศูนย์กระจายสินค้า(สมาร์ทฮับ) จังหวัดลำปาง ด้วยพื้นที่กว่า 5,000 ตรม.เพื่อพัฒนาระบบขนส่งโลจิสติกส์ ครอบคลุมการให้บริการ 12 จังหวัด ในเขตภาคเหนือ โดยหวังผลให้ผู้บริโภคได้รับสินค้ารวดเร็วยิ่งขึ้นและในอนาคตมีแผนที่จะขยายสมาร์ทฮับดังกล่าวไปยังภูมิภาคอื่นๆ ต่อไปด้วย อีกทั้ง การบริหารช่องทางการจัดจำหน่ายให้ครอบคลุมทั้งร้านค้าผู้แทนจำหน่าย โมเดิร์นเทรด ไฮเปอร์มาร์เก็ต โครงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่และยกระดับการบริการหลังการขายด้วยการเปิดบริการซ่อมเครื่องปรับอากาศภายในบ้านแบบด่วนพิเศษภายใน 24 ชั่วโมง ภายใต้ชื่อ “Express Team Service” ให้บริการในเขตพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ 3 กลุ่มลงสู่ตลาด ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ, ตู้เย็น และ พัดลม ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีกรองและตรวจจับฝุ่นขนาดเล็ก (PM 2.5) พร้อมวางแผนการทำตลาดมุ่งเน้นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น เพิ่มความเข้มข้นและเข้าถึงสื่อออนไลน์ รวมถึงการใช้ BIG DATA มาวิเคราะห์ และประยุกต์ใช้กับ Digital Marketing เพื่อสื่อสารให้ตรงกับความต้องการและสอดรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน รวมถึงสร้างการรับรู้แบรนด์ ผ่าน Sport Marketing ในการเป็นสปอนเซอร์สนับสนุนสโมสรฟุตบอลบีจี ปทุม ยูไนเต็ด เป็นต้น อีกทั้งยังคงเปิดตัวภาพยนต์โฆษณาชุดใหม่ที่ยังคงใช้ “โป๊ป – ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” มาเป็นพาร์ทเนอร์พรีเซ็นเตอร์ ปีที่ 6 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เตรียมกิจกรรมส่งเสริมการขาย พร้อมโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภคอีกมากมาย และสำหรับแผนการตลาดทั้งหมดนี้ บริษัทได้วางงบประมาณทางการตลาดปีนี้อยู่ที่ 1,050 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้มาจากเครื่องปรับอากาศอยู่ในสัดส่วนมากที่สุดถึง 60 % และอีก 30 % เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ และอีก 10 % เป็น จิปาถะทั่วไปอื่น ๆ ซึ่งปีนี้ในส่วนภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศในประเทศไทยบริษัท คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 31,000-32,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นราว 6% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณก่อนหน้าที่อยู่ที่ 30,000 ล้านบาท โดยปัจจัยการเติบโตมาจากสภาวะอากาศที่ร้อนขึ้นในประเทศไทยที่เป็นปัจจัยบวกหลักที่ส่งผลให้ตลาดเติบโต
