“สงครามโรค-สงครามภายใน” สนิมกัดกร่อน “รัฐบาลเรือเหล็ก”

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2563

“สงครามโรค-สงครามภายใน”  สนิมกัดกร่อน “รัฐบาลเรือเหล็ก”


วิกฤตจากมหาภัย ไวรัส “โควิด-19 ทำให้ประชาชนเกิดความไม่เชื่อมั่นในแผนการรับมือของรัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม หลังถูกวิจารณ์หนักถึงการให้ข้อมูลข่าวสารที่เกิดความสับสน ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย ทำให้บุคลากรทางแพทย์และและคนไทยขาดแคลน เกิด “ขบวนการหากิน” กับความเดือดร้อนประชาชน กินส่วนต่างหาประโยชน์ส่งออกหน้ากากไปขายต่างประเทศ ซึ่งกำลังพิสูจน์ว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนในรัฐบาลหรือไม่

ที่น่ากังวลว่า โอกาสที่การแพร่ระบาดในไทยจะเข้าสู่ “ระยะ 3 ในช่วงอันใกล้นี้ เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นแล้วเพราะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน รัฐบาลจะรับมือได้แค่ไหน แม้จะยืนยันว่า เตรียมความพร้อมไว้หมดทุกด้าน พอถึงวันนั้น ความตื่นกลัว ความโกลาหล จะมากเป็นทับทวี รัฐบาลจะสกัดการแพร่ระบาด จัดหาหน้ากากอนามัย ให้เพียงพอได้หรือไม่ สินค้าอุปโภคบริโภคจะมีทั่วถึงหรือไม่ เพราะวันนี้ผู้คน “ตื่นตระหนก” แห่เข้าห้างซื้อของกักตุนกันเป็นจำนวนมากแล้ว

นี่เป็น “งานหนัก” ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะฟื้นฟูวิกฤตครั้งนี้ แต่ทว่า “เรือเหล็ก” ลำนี้ดูจะโคลงเคลงเร็วกว่าที่คาด จากมรสุมข้างนอกและความไม่เป็นเอกภาพในเรือลำนี้  เท่าที่ปรากฏรัฐบาลผู้แก้ปัญหาอยู่ในสภาพต่างคนต่างทำ พรรคร่วมรัฐบาลที่รับผิดชอบแต่ละด้าน เช่น พรรคประชาธิปัตย์เป็นเจ้ากระทรวงพาณิชย์ดูแลเรื่องการจัดหาหน้ากากอนามัย พรรคภูมิใจไทยมีรมว.สาธารณสุข ทำงานด่านหน้าสกัดไวรัสโควิด ส่วนพรรคพลังประชารัฐคุมด้านคลัง มหาดไทยที่ดูแลท้องถิ่น แต่ละกระทรวงทำงานไปคนละทิศละทาง

ชัดเจนที่สุดก็กรณี “หน้ากากอนามัย” ที่โยนกันไปมา โดยที่พรรคภูมิใจไทยบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของสาธารณสุข แต่เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องเร่งจัดหา กระทรวงมหาดไทยของพลังพรรคประชารัฐ โยนให้กระทรวงสาธารณสุข ดูแลการ “กักตัวผีน้อย” หลายพันคน กระทั่ง ผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ ทนไม่ไหว ยื่นใบลาออกแสดงความรับผิดชอบที่บริหารจัดการ ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉิน ไม่ดีจนมีผีน้อยหลุดออกจากการคัดกรอง ซึ่งปัญหาลึกๆมาจากการไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่น

ที่หนักเลยก็เห็นจะเป็น กรณี “อธิบดีกรมการค้าภายใน” แจ้งความหมิ่นประมาทกับ “โฆษกกรมศุลกากร” ซึ่งพรรคพลังประชารัฐดูแลหน่วยงานนี้ โดยอ้างว่าโฆษกแถลงข้อมูลเท็จว่าอนุญาตให้มีการส่งออกหน้ากากอนามัย 330 ตัน ทำให้คนเข้าใจผิดว่า มีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศจำนวนมาก

เรื่องดังกล่าวได้ฉุด “ภาพลักษณ์รัฐบาล” ให้ดู “แย่” ลงไป เมื่อหน่วยงานภาครัฐที่ต้องแก้ปัญหาความเดือดร้อนประชาชนมาฟ้องร้องกันเองว่าข้อมูลไม่ถูกต้อง แล้วประชาชนจะเชื่อข้อมูลอะไรได้จากรัฐบาลในยามที่ขวัญผวา รอฟังข้อมูลข่าวสาร

ปัญหาใหญ่อีกเรื่องก็คือ “การสื่อสาร” ข้อมูลข่าวสารในภาวะวิกฤตของรัฐบาลเกิดความผิดพลาด ประชาชนสับสน เช้าแถลงอย่าง เย็นแถลงแก้อีกอย่าง เช่น การปิดไม่ปิดศูนย์กักตัวกลุ่มเสี่ยง การให้ข้อมูลหน้ากากอนามัย คนละทิศละทาง การเกิดข่าวลือผู้ติดเชื้อ “ไวรัสโควิด-19” ในแต่ละวันสร้างความตื่นตระหนกในวงกว้าง

ถ้า “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นำพาประเทศและคนไทยรอดพ้นจาก “ไวรัสโควิด” มาได้ก็คงต้องยกนิ้วให้ นาทีนี้ “ลุงตู่” ไม่เพียงเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง “ไวรัสโควิด” ที่ต้องเอาชนะให้ได้เท่านั้น หากแต่ “ลุงตู่”ยังต้องเผชิญปัญหา “ความขัดแย้ง” ในการทำงานของรัฐบาล สะท้อนภาพ “เรือผุ” ทั้งความไม่เป็นเอกภาพของพรรคร่วมรัฐบาล ทีมเศรษฐกิจ ส่งผลต่อการแก้วิกฤตครั้งนี้ ไปคนละทิศคนละทาง  

ที่สำคัญยังเอาประเด็นไวรัสโควิดมาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวเพื่อที่จะทำลายล้างกันในทางการเมือง แม้จะเป็นพรรคเดียวกันแต่ก็เป็นคนละ “กลุ่มก๊วน” อย่างกรณีนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ออกมาขับไล่ “ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรฯแสดงสปิริตลาออกจากตำแหน่งหลังมีข่าวคนใกล้ชิดเข้าไปพัวพันกับการกักตุนหน้ากากอนามัย เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเคลือบแคลงสงสัยให้กับประชาชน

แม้จะเป็นที่รู้กันว่าร.อ.มนัสนั้นมีบารมีในพรรคมากพอสมควร ที่สำคัญเป็นคนที่ทั้ง “พี่ใหญ่แห่ง3ป.” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ที่นั่งเก้าอี้ประธานยุทธศาสตร์พรรค และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ไว้ใจเป็นอย่างยิ่งแต่ก็ยังมีคนออกมากระแซะให้พ้นจากเก้าอี้ต่อเนื่องโดยอ้างในเรื่องของ “ภาพลักษณ์” ของรัฐบาล

นอกจากนี้ยังรมต.ในก๊วน “4กุมาร”  หรือ กลุ่ม 4 อดีตรัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.ที่ได้รับมอบหมายภารกิจให้ปลุกปั้น “พรรคพลังประชารัฐ-พชปร.” ในช่วงตั้งไข่ที่ประกอบด้วยอุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, สุวิทย์ เมษินทรีย์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล  ทั้งหมดคือ “มือทำงาน” ด้านเศรษฐกิจของ “อ.กวง” ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. ซึ่งทั้งหมดมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารพรรคพลังประชารัฐ โดยที่อุตตม เป็นหัวหน้าพรรคพชปร. สนธิรัตน์ นั่งเลขาฯพรรค, สุวิทย์ รองหัวหน้า ทั้งหมดนี้กำลังถูก “แซะ” จากกลุ่มก๊วนในพรรคตัวเอง

หากจำกันได้ช่วงการ “ฟอร์มคณะรัฐมนตรี” ซึ่งเก้าอี้รัฐมนตรีมีอยู่จำกัด ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องบริหารจัดการให้ “ลงตัว” เพื่อไม่ให้กลุ่มก๊วนภายในพปชร.มีปัญหาและจำเป็นต้องเอาใจ “พรรคร่วมรัฐบาล” แลกกับเสียงโหวตนายกฯ จึงต้องยอมหักคนในพปชร.เพื่อเอาใจพรรคร่วมรัฐบาล แต่กลุ่ม-ก๊วนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยอมหักในพปชร. เริ่มส่งเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จากที่มีแค่ “กลุ่มสามมิตร” ที่ดร.สมคิดเป็นคนชักชวนให้เข้ามาอยู่พรรค วันนี้แตกย่อยเป็น กลุ่มภาคกลาง, กลุ่ม 13 ส.ส.ใต้  

เป้าหมาย “แซะ” ที่นอกเหนือไปจากร.อ.ธรรมนัสที่ถูก “ปั๊มหน้าผาก” ว่าเป็นตัวปัญหาฉุดรั้งภาพลักษณ์รัฐบาลแล้วยังมีชื่อของ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรคพชปร.ที่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ซึ่งมีการขับเคี่ยวยื้อแย่งเก้าอี้กับกลุ่มสามมิตรมาแล้ว และมีการ “ปะลองกำลัง” กันแล้วเมื่อครั้งปรับเปลี่ยนคณะกรรมการบริหารพรรคช่วงปลายปี2562 โดยที่ “สนธิรัตน์” ยังรักษาเก้าอี้แม่บ้านพรรคไว้ได้

แต่ก็ยังมีความพยายาม “ปล่อยข่าว” จากบรรดานักการเมืองอาชีพมองว่า “สนธิรัตน์”  มาแบบตัวเปล่า และเป็น “นอมินี” ของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ไม่มี ส.ส.ในมือเลยแต่กลับได้เก้าอี้รัฐมนตรีไปถึง 4 ที่นั่ง โดยเฉพาะโควตา “เก้าอี้รัฐมนตรีพลังงาน” ที่ “สนธิรัตน์” นั่งอยู่

ไม่เพียงกลุ่มก๊วนในพชปร.เท่านั้น หากแต่ยังมีบรรดาส.ส.นอกพรรคพชปร. รวมทั้งส.ส.และส.ส.สอบตกในพื้นที่ภาคใต้ที่พยายามลงพื้นที่พบปะประชาชนแต่กลับถูกตอกหน้ากลับมา โดยเฉพาะพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ชื่นชม “สนธิรัตน์” ที่ผลักดันให้มี B10 B20 จนราคาปาล์มพุ่งพรวด โดยไม่จำเป็นต้องใช้เงินรัฐใน “มาตรการประกันราคา” ตามนโยบายพรรคร่วมรัฐบาลแต่อย่างใด  ผิดกับในพื้นที่สวนยาง ที่กลายเป็นว่าส.ส.ถูกรุมด่าจากประชาชนว่ามาตรการประกันรายได้เกษตรกรของพรรคร่วมฯ ทำอะไรไม่ได้เลย ราคายางยังตกต่ำอยู่เช่นเคย

 ในภาวะเปราะบางของรัฐบาลที่โดน “สงครามโรค” เล่นงาน ยังมีปัญหาการเมืองนอกสภา รวมทั้งข่าวลือการรัฐประหาร หรือ กระแสกดดันให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกแล้วล้างไพ่ตั้งรัฐบาลใหม่ ผ่านกลไกรัฐสภาเพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมากอบกู้วิกฤต  เปิดทางให้ “คนนอก” ที่ไม่ได้เป็น ส.ส.มาเป็นนายกฯ

ในเวลาที่เหลืออยู่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งแสดงภาวะผู้นำ สร้างความเชื่อมั่นกลับคืนมา โดยเฉพาะปัญหาภายในพรรคพชปร.ที่หากไม่สามารถจัดการได้แล้ว

ท้ายที่สุดก็จะกลายมาเป็น “หอกทิ่มแทง” ตัวเอง ทำให้ “เรือเหล็ก” สนิมเขรอะอับปรางลง..!!



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ