“ไพรซ์ซ่า” เผย โควิด-19 ดันตลาดอีคอมฯในไทยโตขึ้น 5% ชี้ ค้าปลีกยังแรง แซงไม่ได้ เหตุคนไทยชอบเดินห้าง

วันจันทร์ที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2563

“ไพรซ์ซ่า” เผย โควิด-19 ดันตลาดอีคอมฯในไทยโตขึ้น 5% ชี้ ค้าปลีกยังแรง แซงไม่ได้ เหตุคนไทยชอบเดินห้าง


เมื่อกล่าวถึงตลาดอีคอมเมิร์ซไทยแล้ว ได้ส่งสัญญาณการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง โดยตัวเลขปี 62 เติบโตสูงถึง 163,300 ล้านบาท และเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด19 (COVID-19) ในไทย ยิ่งผลักผู้บริโภคหันมาช้อปปิ้งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ส่งผลให้ตัวเลขตลาดอีคอมเมิร์ซไทยอาจพุ่งสูงถึง 220,000 ล้านบาท โดยในปี 63 นี้ มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 35%

นายธนาวัฒน์ มาลาบุปผา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ไพรซ์ซ่า จำกัด ผู้ให้บริการ “Pricezaเครื่องมือค้นหาสินค้าและบริการเปรียบเทียบราคา เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอีคอมเมิร์ซไทย ปี 2562 และทิศทางปี 2563 ว่า ข้อมูลตลาดอีคอมเมิร์ซไทยมีมูลค่าเพียง 3% ของตลาดค้าปลีกทั้งหมดในประเทศ ขณะเดียวกันประเทศที่มีมูลค่าอีคอมเมิร์ซมากที่สุดได้แก่ประเทศจีน 25%, เกาหลีใต้ 22% และอังกฤษ 22% ตามลำดับ หมายความว่า ถึงแม้คนไทยจะรู้สึกว่ากระแสการซื้อขายออนไลน์เป็นที่นิยม แต่หากดูจากสถิติประเทศไทยเปรียบเทียบกับต่างประเทศ จะเห็นได้ว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย ยังคงสามารถเติบโตได้อีกอย่างต่อเนื่อง

“ตลาดอีคอมเมิร์ซในไทยปีที่ผ่านมา มีมูลค่าสูงถึง 163,300 ล้านบาท แต่ปีนี้จะเติบโตขึ้นถึง 35% หรือประมาณ 220,000 ล้านบาท จะขยับขึ้นจาก 3% เป็น 5% ของมูลค่าค้าปลีกทั้งหมด และถึงแม้ว่า ตลาดอีคอมเมิร์ซจะเติบโตขึ้นแต่ยังไม่สุด เพราะแต่พฤติกรรมคนไทยยังไงก็ชอบเดินห้าง ไม่ได้คิดว่า จะต้องซื้อทางออนไลน์หรือออฟไลน์เท่านั้น แต่เน้นที่สะดวก และมีการเปรียบเทียบราคามากกว่า”

สำหรับบทวิเคราะห์จากข้อมูล ETDA นั้น สัดส่วนมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทยเฉพาะ B2C (Business-to-Consumer) และ C2C (Consumer to Consumer) ในปี 2562 มีการเปลี่ยนแปลงไป โดยพบว่าช่องทาง E-Marketplace เป็นช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมใช้ในการซื้อของออนไลน์ในสัดส่วนมากขึ้น จากปี 2561 อยู่ที่ 35% เติบโตมาเป็นสัดส่วนมากถึง 47% ในปี 2562 นอกจากนี้สัดส่วนของช่องทาง Social Media และ E-tailer/Brand.com มีมูลค่าลดลงตามสัดส่วน

ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหวของตลาดอีคอมเมิร์ซไทยปี 2563 จากผลพวงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 (COVID-19) ได้ส่งผลให้เกิดความต้องการบริโภคกลุ่มสินค้าสุขภาพและความงาม สินค้าอุปโภคบริโภคในครัวเรือน และเครื่องใช้ไฟฟ้า เพิ่มสูงขึ้นกว่า 29% โดยเฉลี่ย

“เมื่อเจาะลึกสินค้าที่ในกลุ่มสุขภาพและความงาม พบว่า สินค้าที่มีปริมาณความต้องการมากที่สุดได้แก่ หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ เครื่องวัดอุณหภูมิ เจลล้างมือ สมุนไพรฟ้าทะลายโจร ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ที่ผู้คนต่างวิตกกังวลกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 จึงต้องการสินค้าที่ช่วยในเรื่องของการป้องกันเชื้อโรค ขณะเดียวกันมีกลุ่มสินค้าที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ต้องมีสินค้าที่มีความนิยมลดลงเช่นกัน โดยสินค้าที่มีความต้องการลดลง ได้แก่ สินค้าหมวดเสื้อผ้าและแฟชั่น เนื่องจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด หลายบริษัทต้อง Work from Home ประชาชนต้องลดการออกไปในที่สาธารณะ จึงทำให้สินค้าประเภทนี้ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรองเท้ากีฬา เป็นสินค้าในหมวดที่ยอดความสนใจซื้อลดลงถึง 58% เลยทีเดียว”

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ