นายนิวัติ ปากวิเศษ ประธานสหกรณ์ผู้ปลูกมะนาวบ้านแพ้ว ดําเนินสะดวก จํากัด เข้าเรียกร้องให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคผลักดันให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภคในกรณีการผ่อนผันให้มีการนําเข้าวัตถุดิบอาหารที่มีสารตกค้างพาราควอตและคลอร์ไพรีฟอส ของกระทรวงสาธารณสุข
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทย ได้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกําหนดให้สารพาราควอตและคลอร์ไพรีฟอส จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ต้องมีการยกเลิกการใช้ในประเทศไทยและต่อมาในวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมาได้มีการประชุมร่างประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องอาหารที่มีสารพิษตกค้างระหว่างรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ มนัญญา ไทยเศรษฐ์ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพบว่าจะมีการผ่อนปรนการนําเข้าวัตถุดิบและสินค้าเกษตรที่มีการใช้สารพาราควอตและคลอร์ไพริฟอส เช่น ถั่วเหลือง กากถั่วเหลือง ข้าวสาลี และสินค้าอื่นๆ จากต่างประเทศ จนถึง 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564
นายนิวัติ ปากวิเศษ และตัวแทนของผู้บริโภค ซึ่งเป็นกลุ่มผู้รับภาระจากแนวทางการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐที่ไม่เป็นธรรม ในฐานะ “ผู้บริโภค” กล่าวว่า มติดังกล่าวทำให้ตนรู้สึกกังวลใจ จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุขดําเนินการระงับการนําเข้าสินค้าเกษตรที่มีการใช้สารพาราควอตและสารคลอร์ไพรีฟอสดังกล่าวทันทีไม่มีการผ่อนปรนไปถึงเดือนมิถุนายน 2564 และออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขกําหนดให้สารพิษตกค้างในอาหารของสารพาราควอตและคลอร์ไพรีฟอสเป็นศูนย์ทันทีโดยตรวจสอบการทํางานของผู้ใต้บังคับบัญชาทุกรายไม่ให้ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นโดยการผ่อนปรนให้กลุ่มผู้นําเข้าเป็นการชั่วคราวหรือการละเลยความรับผิดชอบในการปล่อยให้มีสินค้าเกษตรที่นําเข้าจากต่างประเทศโดยไม่คํานึงถึงสุขภาพของผู้บริโภคคนไทย
“ในเมื่อรัฐบาลต้องการสร้างความปลอดภัยให้กับประชนแต่ถ้ายังให้มีการนำเข้าลักษณะนี้อยู่ก็เข้าทำนองว่าไม่ให้ใช้แต่นำเข้ามาให้กินแบบนี้ถือว่าไม่ตรงกับนโยบายภาครัฐจึงอยากให้รัฐระงับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากประเทศที่มีการใช้พาราควอตและควอร์ไพริฟอสโดยพบข้อมูลว่ายังมีกว่า 80 ประเทศที่มีการใช้สารเคมี 2 ตัวนี้อยู่”
จึงขอนําเสนอแนวทางดังกล่าวข้างต้นให้มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคพิจารณาดําเนินการอย่างเร่งด่วนโดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามูลนิธิเพื่อผู้บริโภคจะดําเนินการด้วยความเที่ยงธรรมไม่เลือกปฏิบัติและเป็นที่พึ่งของประชาชนไทยอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) และเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในเรื่องดังกล่าวต่อไป