วิกฤตเศรษฐกิจ.. พิสูจน์กึ๋นผู้นำรัฐบาล

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

วิกฤตเศรษฐกิจ..  พิสูจน์กึ๋นผู้นำรัฐบาล


ถึงนาทีนี้ พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างสิ้นเชิง เหลือเพียงพิธีกรรมและขั้นตอนตามกฎหมายที่จะทำให้ “บิ๊กป้อม” เป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐโดยสมบูรณ์

หลังจากที่แกนนำพรรค พปชร.นำทีมโดยสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ, สมศักดิ์ เทพสุทิน, สันติ พร้อมพัฒน์, ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า, อนุชา นาคาศัย, ไพบูลย์ นิติตะวัน ได้ยกกระบวนเทียบเชิญไปยัง “มูลนิธิอนุรักษ์บ้านป่ารอยต่อ 5 จังหวัด” ซึ่งตั้งอยู่ในกรมทหารราบที่ 11 ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ตอบรับการเป็นหัวหน้าพรรค พร้อมพูดกับแกนนำพรรคว่า ขอให้รักสามัคคี ทำงานให้ดี ห้ามแตกแยก และให้เป็นหนึ่งเดียว

ต่อมาในวันที่ 27 มิ.ย.มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2563 ณ ห้องแกรนด์ไดมอนด์ บอลรูม เมืองทองธานี เพื่อเลือกให้ “พล.อ.ประวิตร” เป็นหัวหน้าพรรค พร้อมมีการเลือกตั้งกรรมการบริหารชุดใหม่จำนวน 23 คนแทนชุดเดิมที่ได้ลาออกไป โดยมีอนุชา นาคาศัย เป็นเลขาธิการพรรค นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นเหรัญญิกพรรค บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ นายทะเบียนพรรค

งานนี้ทุกอย่างราบรื่นไร้พลังต่อต้าน เพราะ “กลุ่ม 4 ยอดกุมาร” ซึ่งนำโดย อุตตม สาวนายน อดีตหัวหน้าพรรค และสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตเลขาธิการพรรค สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรองหัวหน้าพรรค และกอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตโฆษกพรรค ในฐานะผู้บริหารพรรคเดิม ยกธงขาวยอมศิโรราบ ปล่อยให้ “บิ๊กป้อม” และคนใกล้ชิด เข้าไปบริหารจัดการกันตามความสบายใจ

ตาม “โรดแมป” ของ “กลุ่มสามมิตร” ที่เคยวางไว้ หลังจากเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ของพลังประชารัฐแล้ว จะขับเคลื่อนสู่เก้าอี้รัฐมนตรี ผลักดันให้มีการปรับ ครม.แต่ปรากฏว่า หลังจากการเปลี่ยนแปลงภายในพรรคพลังประชารัฐกำลังดำเนินไป แต่ละย่างก้าวได้ปรากฏ “คลื่นแทรก” จนน่าเป็นกังวล

การเปิดตัว นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หรือ อาจารย์แหม่ม เป็นหัวหน้ทีมเศรษฐกิจ คือ “สัญญาณ” แรกที่ชัดเจนว่าหนทางสู่การปรับ ครม. ไม่สะดวกดาย

เพียงวันเดียวผ่านไปหลังจากการเปิดชื่อ เสียงสะท้อนจากทั่วสารทิศก็กระหน่ำเข้าใจ "อาจารย์แหม่ม"กระทั่งต้องมีการแก้ไข จากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่คล้ายๆ กับว่าจะเป็นทีมเศรษฐกิจรัฐบาล กลับกลายเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐ แล้วจากหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรคพลังประชารัฐก็เริ่มถอยมาเป็นผู้ร่างนโยบายเศรษฐกิจของพรรคแล้วในที่สุด พล.อ.ประวิตร ก็ออกมาปฏิเสธข่าวเรื่องหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ยังมีการกระทบกระทั่งกันของกลุ่มส.ส.ที่สนับสนุนพล.อ.ประวิตรกับส.ส.ในสายของดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นำโดยชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ขับไล่ ดร.สมคิด โดยระบุเหตุผลเพราะบริหารนโยบายเศรษฐกิจล้มเหลว แล้วยังเสนอให้ใช้โมเดลประเทศสิงคโปร์ยุบสภาฯ เพื่อให้ได้ทีมเศรษฐกิจมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ จนลูกพรรคไม่พอใจ เพราะเหมือนกับเป็นการเผาบ้านตัวเอง

ขณะที่ส.ส.ในสายของ นายสมคิด ได้ออกมาตอบโต้โดยพุ่งเป้าไปที่ชื่อของนางนฤมล โฆษกรัฐบาลและเหรัญญิกพรรค หรือ “โฆษกบิ๊กอาย” ตามฉายาของสื่อมวลชน ซึ่งช่วงแรกเคยอยู่ในสายของดร.สมคิด แต่ต่อมาย้ายไปอยู่กับขั้วพล.อ.ประวิตร และตกเป็นข่าวจะมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ และแคนดิเดทลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ ตอกย้ำรอยร้าวในพรรคชัดเจนว่า ไม่ได้สงบลง แม้นายกฯได้ปรามให้เบาๆแล้วก็ตามแต่

ต่อมา นายสันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ อดีตกรรมการบริหารพรรค ในกลุ่ม 4 กุมาร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า “..การศึกษาสูงไม่สามารถยกระดับจิตใจที่ต่ำตมให้สูงขึ้น เช่นเดียวกับเสื้อผ้าอาภรณ์เครื่องสำอาง botox และ big eyes ไม่สามารถปกปิดสันดานต่ำทราม" และก่อนหน้านี้ นายสันติ โพสต์ว่า "คนที่เนรคุณผู้มีพระคุณ คนที่หักหลังเพื่อนเพื่อสิ่งที่ตัวเองต้องการ เป็นคนที่จะฝากความหวังไว้ได้หรือไม่ครับ..”

ท่ามกลาง“โรดแมป” ของบรรดาส.ส.พลังประชารัฐพรรคซึ่งสนับสนุนให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้ปรับครม. หากแต่ความต้องการดังกล่าว หรือความฝันนั้นอาจต้องเลือนรางออกไป เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมออกมาเบรกข่าวการปรับครม.

สะท้อนให้เห็นความไม่แน่นอนของการปรับครม.และเป็นการตอกย้ำว่าการปรับครม.ไม่ใช่เรื่องง่าย..!!

แต่หากดูความต้องการของประชาชนผ่านโพล ไม่ว่าจะเป็นนิด้าโพล และซูเปอร์โพลที่เผยแพร่ ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ที่ระบุทิศทางคะแนนความนิยมของรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐลดต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ และเห็นควรมีการปรับ ครม.แบบยกกระบิ ประกอบกับพรรคฝ่ายค้านออกมาตอกย้ำเป็นการสะท้อนความไม่พึงพอใจความล้มเหลวในการบริหารประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะ “ทีมเศรษฐกิจ” ที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด 

หากโจทย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี คือวางคนให้เหมาะสมกับงาน หรือ “Put the right man on the right job”  ณ เวลานี้จะหาใครมาคุมทีมเศรษฐกิจแทนดร.สมคิด จากข่าวที่เคยไปทาบทามอดีตนายแบงก์บ้าง อดีตซีอีโอบ้างล้วนถูกปฏิเสธการเข้ามารับหน้าที่หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลนี้

ขณะที่หลายฝ่ายมองว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่ “วิกฤตทางเศรษฐกิจ” ที่ร้ายแรงกว่าช่วง “ต้มยำกุ้ง” แต่พลเอกประยุทธ์และรัฐบาลไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าจะสามารถนำพาประเทศก้าวพ้นจากวิกฤตินี้ไปได้ แม้จะมีเสียงเรียกร้องให้มีการปรับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาล้มเหลว แต่กลับมีภาพของการ “แย่งอำนาจ” กันในพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี              

นอกจากนี้ยังมี “เงื่อนไข” สำคัญที่ทำให้สังคมไทยจะต้องจมอยู่ในวิกฤตนี้ไปอีกยาวนาน ก็คือ “ระบบการเมือง” ที่ไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหา และเป็นอุปสรรคต่อการที่ประเทศจะปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อรับมือกับวิกฤต

หากเป็นการเมืองที่ทำให้ประชาชนมีส่วนร่วม และสามารถเปลี่ยนแปลงและเลือกรัฐบาลได้ เมื่อเห็นว่ารัฐบาลในขณะนั้น “ล้มเหลว” ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ถึงเวลาเลือกตั้ง ประชาชนก็เปลี่ยนไปเลือกพรรคการเมืองอื่นที่เห็นว่ามีผู้นำและนโยบายที่ดีกว่า

แต่ในขณะนี้ถึงแม้ประชาชนจะเห็นว่าผู้นำไม่มีวิสัยทัศน์และไร้ความสามารถ แต่ระบบการเมืองก็ทำให้การเปลี่ยนแปลงผู้นำและรัฐบาลเป็นไปได้ยาก

 ท่ามกลางเศรษฐกิจที่วิกฤตเกิดขึ้น ผู้ที่ต้องรับภาระหนัก คงหนีไม่พัน พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี นั่นเอง..!!

 

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ