“ไมเนอร์ ฟู้ด” ชี้ ผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ที่จีน ‘เจ็บ’ แต่พบ ‘บทเรียน’ ปรับองค์กรและกลยุทธ์รับมือต่อได้ทุกประเทศ

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2563

“ไมเนอร์ ฟู้ด” ชี้ ผลกระทบวิกฤติโควิด-19 ที่จีน ‘เจ็บ’ แต่พบ ‘บทเรียน’ ปรับองค์กรและกลยุทธ์รับมือต่อได้ทุกประเทศ


“ไมเนอร์ ฟู้ด”ถือเป็นหนึ่งบริษัทยักษ์ในกลุ่มธุรกิจผู้ให้บริการด้านอาหารและฟาสต์ฟู้ดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและต่างประเทศด้วยจำนวนร้านอาหารมากกว่า 2,300 ร้านที่เปิดทำการใน 27 ประเทศทั่วโลกภายใต้แบรนด์เป็นที่รู้จัก อาทิ เดอะพิซซ่า คอมปะนี,สเวนเซ่นส์,ซิซซ์เล่อร์,เดอะ คอฟฟี่คลับ,แดรี่ควีน,เบอร์เกอร์คิงและบอนชอนฯลฯ

และจากเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19ที่เกิดขึ้นทั่วโลกและในไทยเองย่อมต้องส่งผลกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารโดยตรงอย่างแน่นอนเพราะที่ผ่านมาแต่ละประเทศก็ได้มีการล็อกดาวน์ปิดธุรกิจร้านอาหารแบบนั่งทานซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้เหลือเพียงช่องทางเดียวในการสร้างรายได้นั่นคือดิลิเวอรี่แถมยังต้องแบกรับต้นทุนต่างๆอีกมากมาย

โดย นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINTและรักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารไมเนอร์ฟู้ด กล่าวว่า จากจุดเริ่มต้นวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19จากประเทศจีนที่ได้รับผลกระทบก่อนประเทศอื่นในโลกและทางเราได้บทเรียนมาจากผลกระทบจากธุรกิจร้านอาหารของเราในจีนโดนปิดไปตั้งแต่เดือนกุมภาก่อนใครเลยและก็กลับมาเปิดในเดือนมีนาจนขณะนี้ก็ฟื้นก่อนประเทศอื่นๆเป็นที่เรียบร้อยแล้วส่งผลให้กลุ่มไมเนอร์ได้เรียนรู้วิธีการเตรียมพร้อมก่อนใครอย่างรวดเร็วด้วยการปรับปรุงองค์กรทั้งเรื่องของกลยุทธ์โครงสร้างองค์กร ดิจิทัล เทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเพื่อทำให้เราสามารถรองรับกับวิกฤติที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆตามมาได้อย่างดีขึ้นโดยเฉพาะประเทศไทยเอง

อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ไมเนอร์ฟู้ดจึงเร่งปรับตัวพัฒนาองค์กรการที่บริษัทฯกระจายการลงทุนช่วยลดความรุนแรงของผลกระทบได้ดีธุรกิจบริการจัดส่งอาหารหรือเดลิเวอรี่และบริการซื้อกลับบ้านมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งขณะนี้ประเทศไทยเริ่มสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดีโดยร้านอาหารของไมเนอร์ฟู้ดในไทยก็กลับมาเปิดให้บริการได้แล้ว 95% ของร้านอาหารทั้งหมด 1,490 แห่งทั่วประเทศและนับตั้งแต่กลับมาเปิดสาขายอดขายของแบรนด์ส่วนใหญ่ปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ

สำหรับปีนี้บริษัทก็ยังคงมุ่งเน้นในนโยบายการสร้างความแข็งแกร่งของแบรนด์การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการปรับการดำเนินงานเพื่อให้มีการพัฒนาประสิทธิภาพในการทำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องเพราะสัดส่วนฐานรายได้หลักของบริษัทอยู่ในไทยที่ 70% และในต่างประเทศอีก 30%

ด้าน นายประพัฒน์ เสียงจันทร์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า แม้ว่าในช่วงที่ผ่านมาภาพรวมธุรกิจอาหารจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19นั้นแต่ในช่วงที่ผ่านมาเราเองกลับมียอดขายผ่านช่องทางเดลิเวอรี่โตถึง 3 เท่ามาจาก 3 แบรนด์หลักคือ The Pizza Company รองลงมาคือ Burger King และ Bonchon ซึ่งสำหรับแบรนด์บอนชอนได้ผลตอบรับดีมากซึ่งขณะนี้มีอยู่แล้ว 40 สาขาและตั้งเป้าจะขยายให้ได้เป็น 90 สาขาในสิ้นปีนี้สำหรับแบรนด์ Sizzler ถือว่าได้รับผลกระทบมากสุดในช่วงล็อกดาวน์ถึงแม้จะมีเดลิเวอรี่ก็ดูจะยังไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากนักเราจึงได้นำโมเดลร้านรูปแบบ "คีออส" เปิดตัว "ซิซซ์เลอร์ ทูโก" เพื่อตอบสนองความสะดวกในการเลือกซื้ออาหารเพื่อสุขภาพให้กับผู้บริโภคในเมืองมากขึ้น ส่วน“เดอะ คอฟฟี่ คลับ” และ Burger King ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดค่อนข้างมากเพราะฐานลูกค้าหลักเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติตอนนี้จึงได้ปรับบิสสิเนสโมเดลครั้งใหญ่มุ่งเจาะลูกค้าคนไทยมากขึ้นและผลักดันบริการ “แกร็บแอนด์โก” สร้างการเข้าถึงลูกค้าด้วยราคาและเมนูที่จับต้องได้ง่ายขึ้นและในบางสาขาที่อยู่แหล่งท่องเที่ยวอาจจะยังต้องปิดร้านบางแห่งที่ไม่สามารถสร้างรายได้จนถึงสิ้นปี

สำหรับแผนธุรกิจและการลงทุนของไมเนอร์ฟู้ดในปีนี้นั้นยังคงชะลอการลงทุนโปรเจคใหญ่ๆไว้ก่อนแต่จะเร่งลุยทำการตลาดในช่วงครึ่งปีหลังในช่วงไตรมาส 3-4 เพราะมองว่าสถานการณ์จะกลับมาดีขึ้นและเราจะสามารถผลักดันรายได้รวมกลับไปได้เทียบเท่าปีที่ผ่านมาที่ปิดอยู่ที่ 24,000 ล้านบาท ให้จงได้ภายใต้แผนดำเนินงานในครึ่งปีหลัง 2563 ดังนี้

1.ยกระดับบริการเดลิเวอรี่ เพื่อความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทที่มีบริการการส่งอาหารแบบเดลิเวอรี่โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมผ่านการพัฒนาแพลตฟอร์มการสั่งอาหารออนไลน์ตามวิถีชีวิตปกติใหม่ New Normal เพื่อความสะดวกให้ลูกค้ามีแพลตฟอร์มสั่งอาหารเดลิเวอรี่เป็นของตัวเองและสร้างฐานข้อมูลลูกค้าให้กับองค์กร “ต่อยอด” สู่ลอยัลตี้โปรแกรมในอนาคต  

2.สร้าง นวัตกรรมเมนูใหม่ๆ ที่สามารถทำตลาดซื้อกลับบ้านและส่งตรงถึงบ้านได้ชนิดที่ว่าอร่อย และดูดี!และการออกแคมเปญการตลาดที่มีความสร้างสรรค์

3.เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างโมเดลร้านรูปแบบ คีออส ซึ่งเป็นการให้บริการรูปแบบ “แกร็บแอนด์โก” โดยร้านจะตั้งอยู่ใกล้กับความสะดวกของผู้บริโภคมากขึ้น อาทิ สถานที่ทำงาน รถไฟฟ้า ฯลฯ

4.พัฒนาคลาวด์ คิทเช่น หรือ ครัวกลางรูปแบบใหม่ให้บริการที่ สะดวก ใกล้บ้านแพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ลูกค้าที่สั่งอาหารแบบดีลิเวอรีได้รับอาหารรวดเร็ว สดร้อน และ สั่งอาหารได้หลายแบรนด์ภายในออเดอร์เดียวซึ่งจะช่วยทำให้บริการเดลิเวอรี่ของไมเนอร์ฟู้ดครอบคลุมมากขึ้นโดยเฉพาะในย่านชุมชน 

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ