นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร เปิดเผยว่า สำหรับผลกระทบจากโรคระบาด COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมาส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาและกำลังซื้อที่ลดลงธุรกิจของบริษัทได้รับผลกระทบบ้างแต่ไม่มากนัก เนื่องจากสินค้าของซีพีเอฟเป็นสินค้าจำเป็นในการยังชีพและบริษัทได้มีการขับเคลื่อนกลุยุทธ์ด้านการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้นพร้อมไปกับปรับรูปแบบการทำงานและการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนอกจากนี้ธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างมากจากประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่ดีขึ้นทำให้ความสามารถในการทำกำไรปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทั้งนี้ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่ามาของปี 2563 ของบริษัทอยู่ที่ 281,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% โดยรายได้จากการขายของกิจการในต่างประเทศจำนวน 16 ประเทศเติบโต 12% และกิจการประเทศไทยเติบโต 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนทำให้รายได้จากการขายของกิจการต่างประเทศมีสัดส่วนอยู่ที่ 69% และรายได้จากการขายของกิจการประเทศไทยทั้งขายในประเทศและส่งออกมีสัดส่วน 31% ของรายได้จากการขายรวมส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของกิจการในต่างประเทศที่ซีพีเอฟได้เข้าไปลงทุนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา
“ในช่วงปีนี้มีปัจจัยสำคัญมาจากการขาดแคลนสุกรในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะในประเทศเวียดนาม เนื่องจากการระบาดของโรค ASF โดยมองว่าภาวะขาดตลาดดังกล่าวอาจจะยังคงต่อเนื่องจากการที่ยังไม่มีวัคซีนในการป้องกันโรคและการลงทุนในการเลี้ยงสุกรมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการต้องมีระบบการป้องกันทางชีวภาพและการบริหารจัดการป้องกันโรคที่เข้มงวดขึ้น”
นายประสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า บริษัทน่าจะยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องปีนี้น่าจะเป็นปีที่มีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์จากปัจจัยหลักคือภาวะขาดแคลนสุกรในภูมิภาคที่ส่งผลให้ราคาตลาดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปีก่อนและความสามารถในการทำกำไรของธุรกิจสัตว์น้ำในประเทศไทยน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องรวมทั้ง การเติบโตของธุรกิจจากการเพิ่มมูลค่าและการลงทุนนอกจากนั้นยังคาดว่าแนวโน้มการบริโภคน่าจะปรับตัวดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา