นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสเตอร์คูล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มส่งสินค้าสู่ตลาดโลก ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2546 รวมเป็นระยะเวลา 10 ปี โดยส่งออกไปยังประเทศในแถบเอเชียตะวัน ออกกลาง ยุโรป และซีกโลกใต้ สำหรับการรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ในช่วง 6-7 ปีแรก ในการรุกตลาดต่างประเทศ บริษัทมุ่งเข้าหากลุ่มลูกค้าองค์กรเป็นหลัก ก่อนจะบุกตลาดครัวเรือน โดยได้ขยายตัวแทนจำหน่ายจาก 30 รายเพิ่มเป็น 50 ราย ในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ บริษัทได้รวบรวมความคิดเห็นจากผู้ใช้งานทั้งในและนอกประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งได้นำมาพัฒนาสินค้าทั้งรูปแบบและราคา จนเป็นที่มาของการสร้างพัดลมไอเย็นสำหรับผู้บริโภคที่ต้องการการทำความเย็นในบ้านเรือน ซึ่งพัดลมไอน้ำไม่สามารถตอบโจทย์นี้ได้
"แต่เดิมพัดลมไอน้ำเป็นอุปกรณ์สำหรับใช้งานกลางแจ้งหรือที่เปิดโล่ง ซึ่งเหมาะกับลูกค้าองค์กรที่จะนำไปใช้ในสถานที่ต่างๆ เช่น ห้องประชุม พื้นที่จัดงาน สนามกีฬา แต่สำหรับลูกค้าครัวเรือนนั้นต้องการสิ่งที่แตกต่างออกไป เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความชื้นจากไอน้ำและราคาที่สูงพอๆ กับเครื่องปรับอากาศ"
นอกจากการพัฒนาพัดลมไอเย็นแล้ว บริษัทยังได้ปรับเปลี่ยนจุดยืนใหม่จาก "ผู้ผลิตระบบทำความเย็นภายนอก" เป็น "ทางเลือกใหม่ของความเย็นสบาย โดยไม่ต้องติดแอร์" พร้อมรุกตลาดผู้บริโภคภาคครัวเรือน โดยเน้นจุดเด่นไปที่การประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับเครื่องปรับอากาศและมีราคาที่ถูกกว่าอีกด้วย
จุดเด่นนี้ช่วยให้บริษัทประสบความสำเร็จในตลาดเออีซี เนื่องจากหลายประเทศในกลุ่มนี้มีค่าไฟฟ้าที่สูงเมื่อเทียบกับค่าครองชีพและมีความไม่เสถียรของการจ่ายไฟ ทำให้ไม่เหมาะที่จะใช้เครื่องปรับอากาศ
ด้านแผนงานสำหรับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ บริษัทปรับ โมเดลช่องทางการขายจากเดิมที่ให้เอ็กซ์ คลูซีฟประเทศละ 1 ราย สู่การเปิดโอกาส ทางการแข่งขันและคัดสรรตัวแทนขายอย่างเหมาะสม ในแต่ละกลุ่มสินค้า ทำให้สามารถเจาะตรงเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น พร้อมให้แต่ละตัวแทนทำกิจกรรม ส่งเสริมการขายด้วยตนเอง
โดยบริษัทจะวางกรอบการบริหารด้านแบรนด์ให้และมีงบกลางในการสนับสนุน ด้านการตลาดประมาณ 6-7% ของยอดขายในต่างประเทศในแต่ละปี พร้อมเปิดโอกาสให้ตัวแทนในแต่ละประเทศ นำแนวทางดังกล่าวไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม
"หากสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติของผู้บริโภคได้ และเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียว กับเครื่องปรับอากาศและพัดลมแล้ว มั่นใจว่าจะทำให้ตลาดขยายตัวถึง 1,000 ล้านบาท ได้ไม่ยาก"
ด้านตลาดในประเทศ นายนพชัย กล่าวว่า สภาพอากาศเป็นปัจจัยหนุนหลักของสินค้ากลุ่มนี้อยู่แล้ว ดังนั้น สิ่งที่บริษัทต้องให้ความสนใจ คือ ช่องทางการ จัดจำหน่ายและการทำการตลาด
โดยบริษัทใช้การวางสินค้าและเปิดใช้งานในบริเวณด้านนอกของสถานที่จำหน่ายทั้งโฮมโปรและแมคโครเพื่อเป็นการสาธิตสินค้าและสร้างความประทับใจให้แก่ผู้บริโภคไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ยังมีช่องทางที่เป็นการให้เช่าอุปกรณ์สำหรับงานอีเวนต์ต่างๆ อีกด้วย
โดยบริษัทคาดว่าสิ้นปี 2556 นี้ บริษัทจะมียอดขายทั้งในและต่างประเทศ รวมกว่า 350 ล้านบาท หรือเท่ากับการเติบโตกว่า 50% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตดังกล่าวสามารถแบ่งสัดส่วนเป็นรายได้จากต่างประเทศ 50 ล้าน และในประเทศ 300 ล้านบาท
ในส่วนของเป้าหมายในอนาคต บริษัทได้วางเป้ารายได้รวมในปี 2557 ไว้ที่ 500 ล้านบาท โดยตลาดต่างประเทศจะมีสัดส่วนประมาณ 15-20% หรือคิดเป็นมูลค่า 75-100 ล้านบาท