ไวรัสโควิด-19 พลิกสถานการณ์ธุรกิจไทย ส่งผลตลาดเฮลท์แคร์มาแรง ประกันสุขภาพโตสวนกระแสภาพรวมธุรกิจประกันภัยด้วยแรงกระตุ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ โปรแกรมตรวจสุขภาพกลายเป็นของขวัญวันแม่ที่เติบโตสูงถึง 30% คปภ.วางกรอบยุทธศาสตร์ 3 ปีฝ่ากระแส “ยุคโควิดภิวัฒน์” รับพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนแปลงไป ด้านม.หอการค้าไทยเผยผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนของต่างชาติในไทยพบว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไทยได้รับอานิสงส์ในการพิจารณาตั้งฐานการผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์และอาหารเสริม ขณะที่ยอดขอรับส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรกอุตฯการแพทย์โต 1.3 หมื่นล้าน
ประกันสุขภาพโตสวนกระแส
นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ MTL กล่าวภายหลังการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญและเกิดชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่ทุกคนหันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ซึ่ง MTL ได้มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ให้ความคุ้มครองด้านสุขภาพเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เหมาะกับลูกค้าในแต่ละกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด MTL ได้ออกผลิตภัณฑ์ “สัญญาเพิ่มเติมการประกันภัยสุขภาพแบบ D Health” เป็นประกันเหมาจ่ายให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลกรณีผู้ป่วยในแบบเหมาจ่ายตั้งแต่ 1-5 ล้านบาท เหมาจ่ายตามจริง ไม่มีการกำหนดค่าห้องหรือค่ารักษาพยาบาล เพื่อให้ง่ายต่อการใช้บริการของลูกค้า
“ประกันสุขภาพ (Health) เป็นเทรนด์ที่มาแรงมาก แม้ว่าในอุตสาหกรรมประกันชีวิตเบี้ยรับรวมจะติดลบแต่หากไปดูตัวเลขของ Health เป็นบวกอยู่ตลอดเวลาและมีแรงกระตุ้นให้เติบโตมากขึ้น” นายสาระ กล่าว ทั้งนี้ MTL ได้มีการพัฒนามีการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมมุ่งสู่การเป็นดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ผ่านแอปพลิเคชัน “MTL Click” ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งการดูข้อมูลกรมธรรม์ การชำระเบี้ยประกัน การเคลม การค้นหาโรงพยาบาล การปรึกษาปัญหาสุขภาพออนไลน์ผ่านบริการ Telemedicine กับโรงพยาบาลสมิติเวช หรือการรับสิทธิพิเศษเมืองไทยสไมล์คลับ
ขณะที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจทัศนคติและพฤติกรรมของประชาชนเกี่ยวกับวันแม่ประจำปี 63 ที่ผ่านมาด้านการใช้จ่ายในการซื้อของขวัญให้แม่ประกอบด้วย การให้เงินสดหรือซื้อทองเฉลี่ย 2,724 บาทลดลงจากปีก่อน 17.1%, ซื้อพวงมาลัยหรือดอกไม้ 192 บาทลดลง 1%, ซื้อเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า 1,889 บาท ลดลง 20.3%, ซื้อเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย 1,034 บาท ลดลง 6.2%, ซื้อกระเช้าผลไม้ 501 บาท ลดลง 12.9% อย่างไรก็ตามของขวัญวันแม่ที่มีอัตราการเติบโตสวนกระแสของขวัญชนิดอื่นคือการซื้อโปรแกรมตรวจสุขภาพ 6,333 บาท เพิ่มขึ้น 30% และ การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ 15,407 บาท เพิ่มขึ้น 7%
คปภ.วางยุทธศาสตร์ฝ่า‘โควิดภิวัฒน์’
ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด–19 กลายเป็นตัวเร่งให้สังคมไทยเข้าสู่สังคมรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “ยุคโควิดภิวัฒน์” ที่พฤติกรรมของคนเปลี่ยนแปลงไป มีการใช้เทคโนโลยีและทำ
ธุรกรรมออนไลน์มากขึ้น มีการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ภายใต้ New Normal หรืออาจปรับไปสู่ New Business Model มีการนำ Application AI Platform และ API (Application Programming Interface) มาสนับสนุนในการทำธุรกิจประกันภัยตั้งแต่ต้นน้ำไปยังปลายน้ำมากขึ้น เช่น การเปรียบเทียบเงื่อนไขความคุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันภัย อัตราเบี้ยประกันภัย การเสนอขาย การ Underwrite การออกกรมธรรม์ประกันภัย รวมถึงการจ่ายค่าสินไหมทดแทน หรือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องของจำนวนวันในการเรียกร้องค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถในกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ เป็นต้น ซึ่งในอนาคตอุตสาหกรรมประกันภัยจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวกระโดด ทำให้มุมมองเรื่องการประกันภัย ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และความเสี่ยงด้านต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป ก่อให้เกิดการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นธุรกิจประกันภัยจึงต้องเร่งปรับตัวพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมต่อความต้องการของประชาชนผู้บริโภคและความต้องการทางด้านเศรษฐกิจของประเทศ
‘จีน-ญี่ปุ่น’ สนลงทุนเครื่องมือแพทย์
รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการไทยและต่างชาติ ในงานแถลงข่าวเรื่อง “บุญหล่นทับหรือกรรมซ้ำเติม?...ฐานการผลิตไทยกับ CLMV หลัง COVID-19” เกี่ยวกับผลการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการจำนวน 200 ตัวอย่าง แบ่งเป็นผู้ประกอบการไทยที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยร้อยละ 70 และผู้ประกอบการต่างชาติที่มีฐานการผลิตในประเทศไทยร้อยละ 30 พบว่าหลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ผู้ประกอบการต่างชาติให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสุขอนามัยเพิ่มมากขึ้นในอันดับต้น ๆ ในการขยายฐานการผลิต (ให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 4 จากเดิมก่อนสถานการณ์โควิด-19 อยู่ในอันดับที่ 11) ขณะที่ผู้ประกอบการไทยยังคงคำนึงถึงปัจจัยด้านต้นทุนต่ำเป็นปัจจัยหลักในการย้ายฐานการผลิต
อุตสาหกรรมไทยที่บุญหล่นทับหลังโควิด-19 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วน ผลิตภัณฑ์ด้าน IT เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องปรับอากาศ ฮาร์ดดิสก์ ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพและเครื่องมือทางการแพทย์ เนื่องจากไทยสามารถจัดการกับโควิดได้ดีและแรงงานมีคุณภาพ มีความรู้ มีฝีมือมีทักษะในการผลิต ซึ่งผู้ประกอบการต่างชาติมีแผนขยายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยมีผู้ประกอบการต่างชาติที่มีแผนย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทยหลังโควิด-19 ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ อาทิ ผู้ประกอบการจีน (ผลิตภัณฑ์ถุงมือยาง) และผู้ประกอบการญี่ปุ่น (ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ และเครื่องมือทางการแพทย์)
“ไทยควรใช้โอกาสจากโรคระบาดผลักดันส่งเสริมสนับสนุนและเน้นอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ เช่น ถุงมือยาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตเพื่อสุขภาพ เครื่องสำอางเพื่อสุขภาพ เครื่องมือทางการแพทย์ โดยภาครัฐควรประชาสัมพันธ์ประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมสุขภาพและอาหารเพื่อสุขภาพของโลก รวมถึงพัฒนาเทคโนโลยี AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว
ครึ่งปีลงทุนอุตฯการแพทย์ 1.3 หมื่นล้าน
นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ภาวะการส่งเสริมการลงทุนช่วง 6 เดือนของปี 2563 (มกราคม-มิถุนายน) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวมทั้งสิ้น 754 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 703 โครงการ ขณะที่มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 158,890 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17 ซึ่งมีมูลค่ารวม 190,330 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และ
ในช่วงเดียวกันของปี 2562 มีโครงการขนาดใหญ่ด้านพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลยื่นขอรับการส่งเสริม แต่มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 371 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 83,140 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 52 ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมทั้งหมด โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่มีการยื่นขอรับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยมีการยื่นขอรับการส่งเสริมรวม 52 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 174 มูลค่าเงินลงทุนรวม 13,070 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 123 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“ยอดคำขอรับการส่งเสริมในอุตสาหกรรมการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากมาตรการเร่งรัดการลงทุนในอุตสาหกรรมการแพทย์ ที่บอร์ดบีโอไอเห็นชอบเมื่อเดือนเมษายน เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนอย่างรวดเร็ว รองรับความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้นภายใต้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19” เลขาฯบีโอไอ กล่าว
สำหรับยอดขอรับการส่งเสริมในช่วง 6 เดือนของปี 2563 จำแนกตามอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 28,250 ล้านบาท ตามด้วยอุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร มูลค่า 15,300 ล้านบาท อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 13,510 ล้านบาท อุตสาหกรรมการแพทย์ 13,070 ล้านบาท อุตสาหกรรมปิโตรและเคมีภัณฑ์ 4,380 ล้านบาท