“อมาโด้” ชี้ อีคอมเมิร์ซขุมทรัพย์ใหม่ตลาดค้าปลีก ปักหมุดบุกขายสินค้าผ่านอี-มาร์เก็ตเพลสดันยอด

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563

“อมาโด้” ชี้ อีคอมเมิร์ซขุมทรัพย์ใหม่ตลาดค้าปลีก ปักหมุดบุกขายสินค้าผ่านอี-มาร์เก็ตเพลสดันยอด


นายธนา ภูโชคอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อมาโด้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า จากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ถือเป็นการเร่งอัตราการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซ ด้วยจุดเด่นด้านความสะดวกสบาย ไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านในสถานการณ์ที่มีความสุ่มเสี่ยงส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากได้ทดลองการสั่งสินค้าออนไลน์และใช้งานจนเกิดความคุ้นชิน มากไปกว่านั้นยังเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการจัดโปรโมชันต่างๆเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย

ซึ่งปัจจัยเหล่านี้นับว่าเป็นผลบวกในการเติบโตของช่องทางอี-คอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่องสอดคล้องกับผลสำรวจของ Priceza ที่ระบุว่า การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาจับจ่ายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น มูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซไทยพุ่งสูงขึ้นถึง 220,000 ล้านบาท ในปี 2563 เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 35% จากปีก่อน โดยพบว่าช่องทางอี-มาร์เก็ตเพลส เป็นช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมใช้ในการซื้อของออนไลน์ในสัดส่วนมากขึ้น จากปี 2561 อยู่ที่ 35% เติบโตมาเป็นสัดส่วนมากถึง 47% ในปี 2562 โดยอันดับสินค้าขายดีพบว่า สินค้าสุขภาพและความงามโตนำมาเป็นอันดับที่ 1 เติบโตขึ้น 34% โดยเป็นผลสำรวจในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 (ม.ค.-ก.พ.) เทียบกับช่วงเกิดโควิด-19 (มี.ค.-เม.ย.)

ทั้งนี้ อมาโด้ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดวิตามินอาหารเสริมเพื่อสุขภาพบนอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยด้วยแนวคิดสู่ความสำเร็จในด้านความรวดเร็วถูกต้องและตรวจสอบได้ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญหลักของอมาโด้ในการทำการตลาดอี-คอมเมิร์ซ ปัจจุบันสัดส่วนการจำหน่ายสินค้าผ่านอี-คอมเมิร์ซในประเทศไทยยังไม่ถึง 10% ของมูลค่าตลาดค้าปลีกจึงมีโอกาสในการเติบโตได้อีกมากการรุกทำตลาดได้ก่อนถือเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจนับเป็นโอกาสของธุรกิจทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและใหญ่

ล่าสุด บริษัทเดินหน้านำผลิตภัณฑ์จำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม อี-มาร์เก็ตเพลส ชั้นนำ อาทิ Lazada, Jd Central, Shopee และ Line Thailand เพื่อขยายช่องทางจัดจำหน่ายให้เข้าถึงและสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุค นิว นอร์มอล (New normal) พร้อมเพิ่มฐานลูกค้า รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการชำระเงินให้มีความหลากหลายโดยเฉพาะการผ่อนชำระสินค้า

ผู้บริหาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านโซเชียลคอมเมิร์ซแม้จะมีสัดส่วนลดลงเหลือ 38% จากปีที่ผ่านมาแต่มองว่ายังมีแนวโน้มที่ดีเนื่องจากการเติบโตในกลุ่มโซเชียลคอมเมิร์ซเป็นการเติบโตในลักษณะผสมผสานกันในแต่ละแพลตฟอร์มหรือการเติบโตแนวนอนมากกว่าการเติบโตในแพลตฟอร์มของตัวเองผลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ได้มีการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์จำกัดเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งแต่นิยมใช้แพลตฟอร์มออนไลน์หลายๆแพลตฟอร์มเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตประจำวันดังนั้นการรวมตัวกันหรือใช้ประโยชน์ร่วมกันของในแต่ละแพลตฟอร์มจะช่วยให้เกิดการเติบโตรวดเร็ว เนื่องจากสามารถเข้าไปตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามแม้อมาโด้จะเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้าผ่าน อี-มาร์เก็ตเพลสเพื่อสอดรับพฤติกรรมผู้บริโภค แต่โซเชียลคอมเมิร์ซของอมาโด้และดีลเลอร์ผู้จัดจำหน่ายยังคงเป็นช่องทางหลักเนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในช่วงวิกฤตโควิด-19ในการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆโดยเฉพาะเฟสบุ๊กช่วงเดือนเม.ย.-ก.ค.ที่ผ่านมาเติบโต 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและยังคงพบการเข้าถึงต่อเนื่องไม่ได้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากสถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายลงส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความคุ้นเคยในการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้นในช่วงล๊อกดาวน์รวมถึงปัจจัยด้านความสะดวกในการชำระเงินซึ่งในส่วนของอมาโด้ลูกค้านิยมชำระเงินด้วยการเก็บเงินปลายทาง เนื่องจากความปลอดภัย สร้างความสบายใจให้แก่ผู้บริโภคในการสั่งซื้อทำให้สัดส่วนรายได้จากด้านโซเชียลคอมเมิร์ซของบริษัทฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 16%จากยอดขายและผ่านช่องทางออนไลน์ของดีลเลอร์บิ้วตี้ของบริษัทอยู่ที่ 60% ของยอดขาย

สำหรับเป้าหมายรายได้จากช่องทางออนไลน์ของบริษัทฯ ในปีนี้หลังจากปรับเป้าหมายครึ่งปีตั้งเป้าไว้ที่ 450 ล้านบาท โดยเติบโตขึ้นกว่า 400% จากปีที่แล้ว ที่มียอดขายอยู่ที่ 110 ล้านบาท เล็งเพิ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม อี-มาร์เก็ตเพลส Lazada, Jd Central, Shopee และ Line thailand อย่างต่อเนื่อง

 

 

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ