“สรรพากร” จัดให้ เปิดกลยุทธ์ “รู้” ทริคสุดยอดเพื่อธุรกิจออนไลน์

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563

 “สรรพากร” จัดให้ เปิดกลยุทธ์ “รู้” ทริคสุดยอดเพื่อธุรกิจออนไลน์


เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ยังแรงต่อเนื่องสำหรับ ธุรกิจออนไลน์โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเป็นธุรกิจที่ฆ่าไม่ตายสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำแถมยังช่วยให้การขายของสามารถเชื่อมต่อกับผู้คนได้ทุกที่ทั่วโลกแต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่าหลายคนจะได้รับโอกาสจากการโกยเงินของธุรกิจดังกล่าวมาอย่างมากมายแต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ทำการค้าออนไลน์กลับคิดไม่ถึงและมองข้ามไปนั่นก็คือ การจัดการภาษี

ซึ่งพบปัญหาทั้งการเริ่มต้นยื่นภาษี เอกสารที่จำเป็นต้องใช้ การจะยื่นภาษีว่าต้องใช้แบบใด การเลือกระบบบริหารจัดการและที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือบรรดาผู้ค้าออนไลน์หลายรายยังไม่รู้แม้กระทั่งว่าการทำธุรกิจดังกล่าวต้องมีการเสียภาษีเลยทีเดียว

ล่าสุด กรมสรรพากรจึงได้จัดสัมมนา ยอดขายออนไลน์ปัง มาฟังเรื่องภาษี เพื่อให้คนทำธุรกิจออนไลน์เข้าใจเรื่องภาษีได้มากกว่าที่ผ่านมา

ถนอม เกตุเอม เจ้าของเพจ TaxBugnoms ซึ่งเป็นเพจที่ให้ความรู้เรื่องภาษีในรูปแบบภาษาที่เข้าใจง่ายได้ให้กลยุทธ์ 3รู้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจออนไลน์ว่า

1.รู้รายได้ : ควรจะทราบถึงรายได้ของตนเองก่อนว่ามีรายได้เข้ามาจากทางใดบ้างและมีหลักฐานที่มาของรายได้อย่างไรเพื่อที่จะได้ทราบว่าตนเองควรจะยื่นภาษีเงินได้ในประเภทใดเพราะในแต่ละประเภทก็มีอัตราในการเสียภาษีและวิธีการคำนวณภาษีที่แตกต่างกันออกไปสำหรับรายได้ของผู้ค้าออนไลน์จะเป็นประเภท 40(8) แห่งประมวลรัษฎากร

2.รู้รายจ่าย : ต้องทราบว่าในแต่ละเดือนมีค่าใช้จ่ายอะไรบ้างสำหรับผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์อาจจะเคยได้ยินการเลือกคิดภาษีได้ 2 แบบ ได้แก่ การคิดจากค่าใช้จ่ายแบบเหมาและการคิดภาษีจากค่าใช้จ่ายแบบตามจริงซึ่งเป็นรายจ่ายที่ต้องมีหลักฐานแน่นอน ดังนั้น การเก็บหลักฐานค่าใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องสำคัญ 

3.รู้ลดหย่อน : เพื่อรักษาสิทธิของผู้ค้าออนไลน์เองโดยควรจะกลับไปตรวจสอบว่าตนเองนั้นสามารถลดหย่อนภาษีในส่วนใดได้บ้าง เช่น ลดหย่อนภาษีจาก  (การดูแลบิดา มารดา บุตร) ลดหย่อนจากการใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐ การลดหย่อนจากการออมหรือการลงทุน การลดหย่อนจากการบริจาค ซึ่งก็จะช่วยให้ค่าใช้จ่ายภาษีลดน้อยลงได้อีก

อีกหนึ่งคำถามสำคัญสำหรับผู้ที่ประกอบธุรกิจออนไลน์ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้าออนไลน์หรือธุรกิจอื่นๆที่ใช้ช่องทางออนไลน์นั่นคือ “จำเป็นหรือไม่ที่ต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม” ซึ่งกรมสรรพากรแนะนำว่าควรจะต้องจดเมื่อมีรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี แต่ในที่นี้ต้องดูตามความเหมาะสมด้วยว่ารูปแบบธุรกิจที่ทำนั้นมีความจำเป็นมากน้อยเพียงใดในการจัดตั้งบริษัทเพราะหากเป็นการดำเนินธุรกิจด้วยตนเองเพียงผู้เดียวไม่ได้มีลูกจ้างหรือการทำงานในรูปแบบบริษัทก็อาจจะกลายเป็นการเสียภาษีซ้ำซ้อนนั่นคือการเสียภาษีทั้งรูปแบบเงินได้บุคคลธรรมดาและเงินได้นิติบุคคลด้วย

เรื่องภาษีที่เคยเป็นเรื่องซับซ้อนเข้าใจยากปัจจุบันสามารถเปลี่ยนให้เป็นเรื่องง่ายสะดวกและรวดเร็วโดยระบบการยื่นภาษีแบบออนไลน์ได้แล้วซึ่งจะช่วยลดปัญหาเรื่องความซับซ้อนและการจัดการเอกสารต่าง ๆ รวมไปถึงระบบ “e-Filing” ที่พัฒนาโดยกรมสรรพากรที่จะช่วยทำให้ ทุกคลิก มั่นใจทำให้ผู้มีรายได้สามารถยื่นภาษีได้ด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์การกรอกข้อมูลไม่ซับซ้อนและไม่จำเป็นต้องเดินทางมาที่สำนักงานสรรพากรนอกจากนี้ในระบบยังมีฐานข้อมูลของผู้เสียภาษีทำให้เอกสารบางส่วนที่ไม่จำเป็นถูกตัดทอนออกไปขั้นตอนเตรียมเอกสารของผู้ยื่นก็จะง่ายขึ้นสะดวกขึ้นและยังมีระบบการคำนวณภาษีให้ทันทีเพียงแค่กรอกข้อมูลตามที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์เท่านี้การยื่นภาษีที่เป็นเรื่องซับซ้อนก็จะไม่เป็นปัญหากับผู้ค้าออนไลน์อีกต่อไป  ถนอม กล่าวทิ้งท้าย

พงษ์ปิติ ผาสุขยืด ผู้ก่อตั้งเพจ Ad Addicts ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและคอนเทนต์ได้เผยทริค รู้เป็นไอเดียให้ผู้ค้าออนไลน์ได้ไปสร้างคอนเทนต์เพื่อยอดขายปังรับปี 2021 ดังนี้

1. “รู้” จักตัวเองสำคัญที่สุดคือต้องรู้จักตัวเองก่อนว่าจะทำอะไร มีจุดเด่นและจุดแข็งที่แตกต่างอย่างไรกับอีกหลายๆตัวเลือกในท้องตลาดและเราต้องการทำคอนเทนต์ในการสื่อสารออกไปเพื่ออะไร

2. “รู้” จักคู่แข่งต้องรู้จักอย่างลึกซึ้งว่าคู่แข่งมีจุดแข็งตรงไหนและมีจุดอ่อนอะไรซึ่งไม่จำเป็นต้องดูแค่เพียงคู่แข็งในกลุ่มธุรกิจเดียวกับเราและต้องมองหาโอกาสที่เป็นช่องว่างในตลาดว่าธุรกิจ

3.“รู้” จักกลุ่มลูกค้าการรู้จักลูกค้าถือเป็นแต้มต่อสำคัญของการดำเนินธุรกิจออนไลน์ที่จำเป็นต้องรู้เร็วยิ่งรู้ก่อนก็จะทำให้เราสร้างคอนเทนต์และผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ไวกว่าก่อนจะไปสังเกตทั้งพฤติกรรมความต้องการและทัศนคติของลูกค้าเพื่อให้ขายได้ตรงจุด 

4. “รู้” จักสภาพแวดล้อมต้องไปมองดูว่าลูกค้าของเราอยู่ในที่ใดช่องทางออนไลน์ใดที่กลุ่มลูกค้าของเราใช้งานมากที่สุดเพราะช่องทางนั้นๆจะเป็นตัวกำหนดการสร้างคอนเทนต์ว่าควรสร้างคอนเทนต์แบบใดให้เหมาะสม

เมื่อรู้จักทั้ง 4 รู้แล้วต้องไม่ลืมว่าการสร้างคอนเทนต์ควรทำอย่างต่อเนื่องและพัฒนาปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ อย่ายึดติดกับการทำในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งและที่สำคัญอย่าลืมดูผลตอบรับจากกลุ่มคนที่เราสื่อออกไปว่ามีการตอบรับคอนเทนต์ของเราในแง่บวกหรือลบเพื่อให้ได้ทั้งคอนเทนต์ที่ตรงจุดและตรงใจมากยิ่งขึ้นพงษ์ปิติ กล่าวสรุป

 

 



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ