นายพัลลภ เตชะสุวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ เทรน (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายระบบปรับอากาศภายใต้แบรนด์ “เทรน” กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ก็ส่งผลกระทบอย่างมากกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ที่ถือว่าเป็นหนึ่งภาคธุรกิจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมีสัดส่วน 18% ของ GDP ในปี 2562 ซึ่งจากการแพร่ระบาดของไวรัสทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 ลดลงถึง 66% เนื่องด้วยข้อจำกัดในการเดินทาง และยังส่งผลให้นักท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวังในการเดินทาง และเข้มงวดในการเข้าพักที่โรงแรมมากขึ้น และจากการที่รัฐบาลได้มีนโยบายจะเริ่มเปิดประเทศในนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีความเสี่ยงน้อยเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้แล้ว แต่ต้องทำตามเงื่อนไขต่างๆ ที่รัฐบาลกำหนดโดยจะเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่หรือแอร์เชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาก็ได้รับผลกระทบเช่นกันคาดว่ามีอัตราการเติบโตลดลงประมาณ 10 % และในส่วนของเทรนในไทยเราก็ได้รับผลกระทบเช่นกันแต่ไม่ใช่ในแง่ของการยกเลิกออเดอร์แต่เป็นแง่ของการชะลอการสั่งซื้อสินค้าที่ดิวกันแล้วออกไป ด้วยเหตุนี้เอง บริษัทจึงได้มีการปรับแผนการดำเนินงานและยอดขายเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คาดว่าจะยังคงอยู่ไปอีกสักระยะหนึ่ง
โดยเรามีแผนจะมุ่งเน้นการขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น ควบคู่ไปกับการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้ในเครื่องปรับอากาศ ให้ตอบโจทย์ในเรื่องของการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ ได้แก่ กลุ่มโรงแรม และโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ที่เค้าอยากจะสร้างความมั่นใจและป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสดังกล่าวในธุรกิจของตนเอง อีกทั้ง ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าของพวกเขาอีกด้วย
ล่าสุด บริษัทจึงได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจในส่วนเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมระบบฟอกอากาศ พร้อมเทคโนโลยีขั้นสูง เทคโนโลยี PCO (Photocatalytic Oxidation) และ UVGI (Ultraviolet Germicidal Irradiation) ที่สามารถลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อไวรัส เพื่อคุณภาพอากาศภายในอาคาร ให้สะอาด และปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น โดยได้นำร่องทำตลาดไปแล้วตั้งแต่ช่วงเดือน เม.ย. 2563 ที่ผ่านมา โดยในช่วงแรกจะเจาะกลุ่มจากฐานลูกค้าเดิมของเทรนที่มีอยู่ประมาณ 200 ราย แบ่งสัดส่วนเป็นกลุ่มธุรกิจโรงแรมประมาณ 50% โรงงานอุตสาหกรรม 20-30% โรงพยาบาลและโรงเรียนอีก 20%
อีกทั้งจะขยายไปยังกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ ด้วย อาทิ ศูนย์การค้า สวนสนุก ธุรกิจไอที อีคอมเมิร์ช เป็นต้น ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มลูกค้าที่สนใจใช้บริการเทคโนโลยีนี้แล้วประมาณ 8-9 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ราย ภายในสิ้นปีนี้ โดยบริษัทตั้งเป้าว่าเทคโนโลยีดังกล่าวนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้ราว 10-20 ล้านบาท และจะช่วยผลักดันรายได้รวมของบริษัทในปี 2563 อยู่ที่ราว 3,000 กว่าล้านบาท
กรรมการผู้จัดการ เทรน กล่าวต่อว่า ปัจจุบันในประเทศไทยเทรนเราถือเป็นผู้นำในตลาดเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่หรือแอร์เชิงพาณิชย์ด้วยแชร์เป็นเบอร์ 1 อยู่ที่ราว 40-45 % โดยขณะนี้โรงงานผลิตยังอยู่ที่ประเทศจีนจำนวน 2 แห่ง แต่บริษัทมีแผนที่จะลงทุนขยายกำลังการผลิตโดยจะมาเปิดโรงงานผลิตในประเทศไทยเพื่อที่จะใช้เป็นศูนย์กลางเพื่อจะส่งออกไปยังแถบภูมิภาคอาเซียน เพราะที่ผ่านมาเทรนมีอัตราการส่งออกไปยังประเทศแถบเพื่อนบ้านในภาคกลุ่มธุรกิจโรงแรม และโรงพยาบาล ที่เติบโตดีอย่างต่อเนื่อง อาทิ เขมร พม่า ลาว เป็นต้น ดังนั้นการมาตั้งโรงงานผลิตแอร์ขนาดใหญ่ที่ไทยจะเป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะทำให้เทรนกระจายสินค้าส่งออกไปได้ครอบคลุมทั่วในแถบเอเชียได้มากขึ้น โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของโรงงานที่จะตั้งที่ประเทศไทยได้ในปีหน้า (2564) อย่างแน่นอน