นายสุวิทย์ ทองร่มโพธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท เอส เอฟ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า อย่างที่ทราบกันว่าจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจากการล็อกดาวน์ ทำให้โรงหนังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ และหลังจากคลายล็อกดาวน์แล้วก็ตามแต่ทางโรงหนังก็ยังต้องมีการจัดที่นั่งเว้นระยะห่างทำให้ก็ไม่สามารถเปิดให้บริการที่นั่งเต็มจำนวนได้ ประกอบกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องต้องเลื่อนกำหนดการฉายออกไปเป็นปี 2564 เบื้องต้นคาดการณ์ว่าจะมีมากถึง 20 เรื่อง จึงส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ปีนี้ได้รับผลกระทบอย่างมากหดตัวไปราว 50-60% เพราะปกติธุรกิจโรงหนังในประเทศไทยจะมีรายได้หลักมาจากหนังฮอลลีวู้ดที่มีสัดส่วนมากถึง 80% ดังนั้น ในส่วนของบริษัทเองก็ต้องมีการปรับแผนธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับสภาวการณ์ดังกล่าวและใช้เม็ดเงินทุกเดือนในการทำตลาดเพื่อกระตุ้นให้คนมาใช้บริการไม่ว่าจะเป็นการนำหนังเก่าๆ ที่กลับมาฉายอีกครั้ง รวมถึงจัดหาอีเวนต์ต่าง ๆ อีกทั้ง มีการจัดทำป๊อปคอร์นเดลิเวอรี่ การเปิดช็อปจำหน่ายสินค้าจากหนังยอดนิยม การพัฒนาแอ๊พพลิเคชั่นตอบโจทย์คอหนังให้จองได้ทุกที่ทุกเวลา สร้างประสบการณ์ดูหนังในรถยนตร์ เป็นต้น
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มุ่งเน้นการพัฒนาโรงภาพยนตร์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ทุกกลุ่มอยู่เสมอ ด้วยการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ผู้บริโภค จึงมองหาพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องมาร่วมกันพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ เพื่อยกระดับและสร้างประสบการณ์ใหม่ในการชมภาพยนตร์ที่เหนือระดับมากขึ้น อาทิ Zigma Cinestadium, MASTERCARD Cinema, CAT First Class Cinema, Happiness Cinema และ MX4D
ล่าสุด ได้เปิดตัว "The Bed Cinema by Omazz" เป็นการจับมือกับ โอมาซ (Omazz) ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องนอนที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ที่สร้างประสบการณ์ชมภาพยนตร์ใหม่ระดับพรีเมียม ด้วยเตียงนอนที่สามารถปรับเอนนอนได้ตามความต้องการ มาติดตั้งแทนที่นั่งรวม 40 เตียง และตกแต่งบรรยากาศเหมือนบ้านสไตล์ modern luxury พร้อมบริการเลานจ์ ป๊อปคอร์น และเครื่องดื่ม ในราคาเริ่มต้น 900 บาท โดยใช้งบลงทุนราว 50 ล้านบาท ในการปรับปรุงโรงภาพยนตร์ใหม่ทั้งหมด โดยเปิดให้บริการที่โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ เน้นเจาะกลุ่มพรีเมี่ยม โดยตั้งเป้ามีผู้ชมประมาณ 50,000 คนต่อปี
ผู้บริหาร กล่าวต่อ เราคาดว่าปีนี้สัดส่วนรายได้หนังไทยจะสูงกว่าหนังต่างประเทศ ด้วยจำนวนหนังไทยที่ฉายมากกว่า ซึ่งสัญญาณเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย ที่ผ่านมา กับหนังไทยเรื่อง อีเรียมซิ่ง ที่ทำรายได้สูงกว่า 100 ล้านบาท และในเดือนสุดท้ายนี้ยังมีหนังไทยเรื่องอ้ายคนหล่อลวงที่มีนักแสดงนำ อย่าง ณเดชน์ คูกิมิยะ และ ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก มาดึงดูดคนดูได้อีกด้วย อีกทั้งโดยเฉพาะวันเดอร์ วูแมน 1984 คาดว่าจะเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดทิ้งทวนในปีนี้ ส่วนในปีนี้มองว่าสัดส่วนรายได้หนังไทยจะสูงกว่าหนังต่างประเทศ ด้วยจำนวนหนังไทยที่ฉายมากกว่า ซึ่งสัญญาณเริ่มดีขึ้นตั้งแต่เดือน พ.ย ที่ผ่านมา กับหนังไทยเรื่อง อีเรียมซิ่ง ที่ทำรายได้สูงกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่รอบฉายหนังอยู่ที่ 80% หรือประมาณ 4 รอบ/โรง/วัน ในเดือนธ.ค นี้ เชื่อว่าจะกลับมาที่ 100% หรืออยู่ที่ 5.5 รอบ/โรง/วัน จากรายชื่อหนังทำเงินที่กลับเข้ามา โดยเฉพาะ Wonder Woman ที่คาดว่าจะเป็นหนังที่ทำรายได้สูงสุดในปีนี้ จึงทำให้ปีหน้าคาดว่าทิศทางธุรกิจโรงภาพยนตร์ในปี 2564 มีโอกาสสูงที่จะฟื้นตัวกลับมาได้อีกครั้ง เนื่องจากธุรกิจนี้มีคอนเทนต์หนังฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ระดับบ็อกซ์บัสเตอร์ที่เลื่อนจากปีนี้ เตรียมเข้าฉายในโรงจำนวนมาก อาทิ เจมส์ บอนด์ 007, ฟาสต์ แอนด์ ฟิวเรียส, สไปเดอร์แมน, มิชชั่น อิมพอสซิเบิล ฯลฯ จึงน่าจะสามารถดึงดูดผู้ชมจำนวนมากให้เข้ามาใช้บริการได้อย่างต่อเนื่อง
“สำหรับแผนการลงทุนในปีหน้า 2564 บริษัทยังคงเดินหน้าลงทุนตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยจะเปิดสาขาเพิ่ม 4 แห่ง แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 1 สาขา และต่างจังหวัด 3 สาขา รวม 20 โรง ใกล้เคียงกับปีก่อน ๆ จากปัจจุบันมี 64 สาขา จำนวน 400 โรง โดยคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 10-15 ล้านบาทต่อโรง หรือรวมแล้วกว่า 300 ล้านบาท รวมถึงอาจมีการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อสร้างโรงหนังโมเดลพิเศษสำหรับผู้ชมพรีเมี่ยมในต่างจังหวัดอีกด้วย เนื่องจากบางพื้นที่มีศักยภาพไม่แพ้กรุงเทพฯ”