ท่ามกลางการถูกดิสรัปชันของสื่อต่างๆทั่วโลก จนต้องทยอยปิดตัวกันไปมากมาย การยืนหยัดของ “สื่อ” วันนี้จึงไม่ง่ายโดยเฉพาะ..สื่อสิ่งพิมพ์นอกจากจำนวนผู้อ่านจะลดน้อยลงแล้ว ร้านหนังสือก็ค่อยๆสูญหายไปทีละร้าน..สองร้านถ้าไม่มีฐานสมาชิก ฐานแฟนคลับเหนียวแน่น ยากจะยืนหยัดอยู่ได้

จากนโยบายของ วัชราภรณ์ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามธุรกิจ แอดเวอร์ไทซิ่ง จำกัด รักษาการผู้อำนวยการ นสพ.สยามธุรกิจ ที่เข้ามาปรับ “โฟกัส” นสพ.สยามธุรกิจ จากเคยนำเสนอข่าวเศรษฐกิจทั่วไป เน้นกลุ่มนักธุรกิจและผู้บริหารเป็นหลัก หันมารุกเข้าสู่ข่าวด้านการเกษตร เป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจสำหรับชาวบ้าน เป็นสื่อเศรษฐกิจเพื่อชุมชน กลายเป็นจุดเปลี่ยนก่อนที่เทคโนโลยีจะทำลายล้างสื่อสิ่งพิมพ์สร้างแฟนคลับกลุ่มใหม่ของ “สยามธุรกิจ” จากผู้บริหาร นักธุรกิจ กระจายไปยังชุมชน ชาวบ้าน และ เกษตรกร

“การให้ความสำคัญเกี่ยวกับข่าวสารข้อมูลด้านการเกษตรนั้น เราคิดว่าจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อเศรษฐกิจระดับฐานรากอย่างแท้จริง” คุณวัชาภรณ์ สะท้อนแนวคิด พร้อมแยกให้เห็นประโยชน์ของสื่อเศรษฐกิจเพื่อชุมชน ดังนี้

1.สามารถเข้าถึงพี่น้องประชาชน และร่วมกิจกรรมกับพี่น้องประชาชนที่เป็นกลุ่มเกษตรยุคใหม่ เป็นผู้นำรุ่นใหม่ในด้านการเกษตรของชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างการรับรู้และส่งเสริมเรื่องการเกษตรอินทรีย์ และลดการใช้สารเคมีอันตรายให้แก่เกษตรกร

2.ทำให้เกษตรกรสามารถผลิตข้าว พืชผักและผลไม้ที่ปลอดภัย ปลอดสารพิษตกค้าง ตรงตามความต้องการของตลาดผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ

3.สามารถช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกรได้มากขึ้นต่อไร่ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นถึงแม้ราคาพืชผลการเกษตรจะตกต่ำแต่เกษตรกรก็จะดำรงอยู่ได้

4.ช่วยกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาทำการเกษตร และจะได้นำความรู้ไปส่งเสริมการเกษตรให้เป็นเกษตรเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชุมชน

5.ช่วยส่งเสริมให้คนในวัยเกษียณ หรือผู้สูงอายุให้หันมาทำการเกษตรและมีความสุขสามารถพึ่งพาตนเองได้

6.ช่วยทำให้สิ่งแวดล้อมโดยรวมดีขึ้นได้

7.ช่วยส่งเสริมทำให้ผู้คนได้มีสุขภาพโดยรวมดีขึ้น

8.ช่วยสนับสนุนตลาดการท่องเที่ยวชุมชนในเชิงวิถีการเกษตร

9.ช่วยลดปัญหาความยากจน ปัญหาอาชญากรในสังคมให้น้อยลง

10.ช่วยสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ทำการสำรวจลักษณะการทำงานของประชากรในปี 2557 พบว่า ประเทศไทยมีประชากรที่เป็นผู้ประกอบอาชีพอยู่ประมาณ 38.7 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ประกอบอาชีพด้านเกษตรกรรมมากที่สุดเป็นจำนวนถึง 12.3 ล้านคน คิดเป็นจำนวนถึง 34% ของสัดส่วนผู้ประกอบอาชีพทั้งหมดในประเทศ

“จากความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการอาหารปลอดภัย รวมถึงนโยบายการเป็นครัวโลกของทางรัฐบาล หากเราสามารถนำเสนอข้อมูลข่าวสารและเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางด้านการเกษตรในชุมชนต่างๆได้ ก็จะเป็นการช่วยทำให้เกษตรกรเหล่านั้นมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เศรษฐกิจของชุมชนดีขึ้น ส่งผลทำให้มีการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น และเมื่อเกษตรกรสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตนเองก็จะไม่เป็นภาระทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอีกต่อไป ในอนาคตประเทศของเราก็จะสามารถเติบโตเป็นประเทศที่มีประชากรมีรายได้สูงมากขึ้น และผลพลอยได้ในส่วนของสยามธุรกิจเองก็จะได้ฐานมวลชนมาเป็นฐานผู้อ่านและติดตามข่าวสารของสยามธุรกิจเป็นหลัก ทั้งทางด้านสื่อสิ่งพิมพ์และทางออนไลน์ ซึ่งก็จะเป็นไปตามนโยบายของเราที่ได้วางเอาไว้” ซีอีโอ นสพ.สยามธุรกิจ กล่าว

ซีอีโอ นสพ.สยามธุรกิจ ยังกล่าวถึงจุดเด่นของสยามธุรกิจที่แตกต่างจากหนังสือพิมพ์ฉบับอื่นคือ

1.สยามธุรกิจเป็นสื่อหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจเพื่อสังคม ที่ผ่านมาได้มุ่งที่จะเป็นสื่อที่เขียนข่าวเชิงวิเคราะห์และสร้างสรรค์

2.เราไม่ได้ให้ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจแก่นักธุรกิจ นักบริหารเท่านั้น แต่ได้มุ่งเน้นที่จะเสนอข่าวสารด้านเศรษฐกิจเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน คนทั่วไปในทุกระดับให้ได้มีโอกาสมีการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ได้ความรู้ความเข้าใจ รู้เท่าทันเศรษฐกิจและความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของสังคม ของโลกโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบันได้ด้วย

3.เราได้มุ่งหวังที่จะส่งเสริมกลุ่มผู้ประกอบการใหม่ที่เป็น SME เป็นวิสาหกิจชุมชน เป็นพี่น้องประชาชน หรือเป็นเกษตรกรให้ได้มีโอกาสเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นเกษตรกรก็ต้องเป็นเกษตรกรยุคใหม่ที่ทันสมัย และเป็นผู้นำทางด้านการเกษตร

4.ปัจจุบันเราได้ขยายฐานกลุ่มผู้อ่านจากเดิมเป็นกลุ่มนักธุรกิจอย่างเดียวไปสู่ฐานทุกกลุ่ม เพื่อสร้างฐานเครือข่ายผู้อ่านหนังสือพิมพ์ทั้งกลุ่มองค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชนได้เพิ่มมากขึ้น จนเราเป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจที่มีสมาชิกเป็นจำนวนมากที่สุด

ซีอีโอ นสพ.สยามธุรกิจยังกล่าวถึงจุดเด่นของสื่อสิ่งพิมพ์เมื่อเทียบกับสื่อออนไลน์ว่า “ในด้านของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากโลกออนไลน์หรือโซเซียลเน็ทเวิร์ค หรือจากทางดิจิทัลถือว่าเป็นกระแสที่มาแรงตอบสนองความต้องการของคนยุคใหม่ที่ต้องการเสพสื่อ เสพข้อมูลข่าวสารที่สะดวก และสามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วทันที ทันสถานการณ์ในทุกสถานที่ตามกระแสนิยม แต่ข้อมูลข่าวสารจากโลกดิจิทัลเป็นข้อมูลข่าวสารดิบๆที่ยังมีข้อจำกัดด้านการกลั่นกรองอย่างรอบด้านและละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งต่างจากสื่อหนังสือพิมพ์ที่จะสามารถนำเสนอได้ในลักษณะของข้อมูลข่าวสารที่ได้กลั่นกรองแล้ว วิเคราะห์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะถือว่าเป็นข้อมูลข่าวสารที่มีความน่าเชื่อถือได้มากกว่า และการเป็นสื่อหนังสือพิมพ์ที่เป็นสำนักข่าวก็ย่อมมีความน่าเชื่อถือกว่าออนไลน์ทั่วไป ถึงแม้จะมีสื่อดิจิทัลเข้ามาเป็นที่นิยมในปัจจุบัน แต่เชื่อว่าสื่อหนังสือพิมพ์จะยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านการตลาดอยู่ต่อไป เพียงแต่จะต้องปรับตัวให้มีการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลควบคู่ไปด้วยให้ได้อย่างเหมาะสม เช่นสยามธุรกิจก็มีการใช้โซเซียลเน็ทเวิร์คเข้ามาส่งเสริมสร้างการรับรู้เพิ่มเติมเช่น 1.การใช้ไลน์ของสมาชิกกลุ่มในระดับจังหวัดทั่วประเทศ และในระดับภาคของสมาชิกทั่วประเทศ 2.เฟสบุ๊ค 3.อินสตราแกรม 4.ยูทูป รวมถึงเว็บไซต์ นสพ.สยามธุรกิจ เราใช้ทุกช่องทางการสื่อสารเพื่อคนยุคใหม่ การปรับตัวดังกล่าวทำให้เราสามารถดำรงอยู่ได้และยังคงมีบทบาทสำคัญอยู่”

พร้อมกันนี้ ซีอีโอหญิงเก่งยังกล่าวถึงเป้าหมายของ นสพ.สยามธุรกิจ ไว้อย่างน่าสนใจว่า“เราต้องการเป็นสื่อที่ไม่เพียงแค่เป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องการให้สยามธุรกิจเป็นสำนักข่าวทางเศรษฐกิจที่มีความน่าเชื่อถือ และเข้าถึงพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ของสังคมในทุกกลุ่มเป้าหมาย เราจะดำรงอยู่คู่กับการเติบโตและการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและของสังคมในระยะยาวต่อไป เป็นสื่อที่พร้อมส่งต่อข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ความเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ในปัจจุบันและอนาคตที่จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม ต่อพี่น้องประชาชน เป็นสื่อเศรษฐกิจเพื่อพี่น้องประชาชนทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น เป็นสื่อกลางที่สามารถสร้างการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการไม่เฉพาะรายใหญ่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงรายที่เป็นขนาดกลางและขนาดเล็กด้วย โดยจะมีการลงพื้นที่ไปสร้างการรับรู้และร่วมทำกิจกรรมกับชุมชนในท้องถิ่นต่างๆมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นสื่อกลางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่งเสริมการตลาดให้ท้องถิ่น ส่งเสริมการท่องเที่ยวท้องถิ่น ส่งเสริมเศรษฐกิจการเกษตรในท้องถิ่น หากชุมชนไหนต้องการให้สยามธุรกิจลงไปร่วมไปส่งเสริมก็สามารถติดต่อได้ที่สยามธุรกิจโดยตรง ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่มีสาขาอยู่แล้วทั่วประเทศ”