การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบันหรือ กกร. ประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.), สภาหอการค้าแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทยว่าที่ประชุมขอเสนอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานเตรียมการฉีดวัคซีนให้ประชาชนในประเทศเป็นเรื่องเร่งด่วน
เพื่อจัดทำกระบวนการและวิธีการในการฉีดและกระจายวัคซีนให้ชัดเจนทั่วถึงเพียงพอต่อคนไทยที่จะเข้ารับวัคซีนซึ่งจะมาถึงไทยช่วงเดือนกรกฎาคม 2564 โดยให้กำหนดเป็นวาระแห่งชาติ
เนื่องจากการฉีดวัคซีนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจสามารถกลับมาดำเนินได้อย่างต่อเนื่องในปี 2564 ช่วยผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคได้ในระยะถัดไป
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มนายจ้างที่พร้อมรับผิดชอบออกค่าใช้จ่ายในการฉีดวัคซีนแก่ลูกจ้างต่างด้าวนั้น รัฐควรมีมาตรการลดหย่อนภาษีเรื่องวัคซีนให้กับนายจ้างเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่ภาคธุรกิจอีกทางหนึ่ง
พร้อมมีการออกใบรับรองบุคคลที่ได้รับวัคซีนแล้ว(วัคซีนพาสปอร์ต) เพื่อให้เกิดความมั่นใจกับต่างประเทศ
สำหรับการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยนั้น กกร.ยังคงอัตราการเติบโตอยู่ในกรอบ 1.5-3.5% ตามที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ การส่งออกคาดจะขยายตัวได้ 3-5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดจะขยายตัว 0.8-1%
“ส่วนการรัฐประหารในเมียนมานั้นยอมรับว่ามีความกังวล หากมีการแทรกแซงทางการเมืองจากต่างประเทศ อาจส่งผลให้การค้าระหว่างไทยกับเมียนมาได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าจากไทย จึงหวังว่าการเปลี่ยนถ่ายอำนาจของรัฐบาลเมียนมาจะเป็นไปโดยสงบและคงข้อตกลงหรือสัญญากับประชาคมต่างๆ” นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน สอท. กล่าว