หมายเหตุแห่งสยาม : by ฤทัย พัชระ

หลังรัฐประหารเมื่อเร็วๆ นี้ อารมณ์ขันคนไทยก็แทบจะหายไป ตอนที่ยังมีม็อบประท้วงด่าทอกันอยู่ก่อนการยึดอำนาจ อารมณ์ขันของคนไทยออกไปในทางฮาร์ดคอร์ หัวเราะแบบขื่นๆ เครียดๆ ชอบกลจนไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้

ระยะหลังมานี้ อารมณ์ขันของคนไทยออกไปในทางสะอกสะใจมากขึ้น นอกจากนี้ การหัวเราะก็ยังไม่ค่อยเต็มเสียงเหมือนเดิม บางคนอาจจะหัวเราะไปร้องไห้ไป

ไปดูในเฟซบุ๊กที่ยังไม่ถูกเซ็นเซอร์จะพบว่า หลังจากคณะทหารช่วยปรามไม่ให้คนไทยแตกแยก หรือแบ่งแยกสีเสื้อตีกันเองประสบความสำเร็จพอสมควรทีเดียว

ทุกวันนี้ มีคนสองกลุ่มกำลังถกเถียงกันแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือพวกที่ไม่พอใจการรัฐประหาร กับพวกเชียร์รัฐประหาร

พวกแรกถือว่ายังแผ่วมาก ถูกอีกฝ่ายวิจารณ์ว่า รับเงินมาจากพวกทำบ่อน หรือแม้แต่รับเงินองค์กรซีไอเอ ก็ยังอุตส่าห์มีลือกันสนุกสนาน คนกลุ่มนี้เสียเปรียบ เพราะการคัดค้านไม่ว่าในรูปใดก็ผิดกฎอัยการศึกทั้งนั้น กระทั่งยก 3 นิ้ว

ส่วนอีกพวกหนึ่ง เชียร์ทหาร รักทหาร ขนาดแต่งเพลงเชียร์ จนอยากให้ทหารปกครองประเทศตลอดไป

สองกลุ่มนี้อาจจะกลายเป็นม็อบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้ ม็อบแรกเสี่ยงตายและเสี่ยงตีน อาจถูกขังชนิดลืมญาติ

อีกม็อบ ก็กลุ่มเดียวกับม็อบพี่กำนันสุเทพเดิมนั่นแหละ หรืออย่างน้อยก็มีเป้าหมายเดียวกัน ใครสังเกตเห็นการจัดงานวันเกิดให้ไฮโซคนหนึ่งของแกนนำกลุ่มกปปส.เมื่อไม่กี่วันนี้ มีการฉลองดื่มไวน์กันอย่างสนุกสนาน ทุกคนอยู่ในชุดลายพรางสีเขียว ทั้งฉลองชัยชนะและแสดงนัยยะว่า พวกเขาต้องการอะไรที่แท้จริงมาตลอด 6 เดือน

ใครคนหนึ่งโพสต์ใส่ไว้ในเฟซบุ๊กได้น่าเกลียดมาก ทำนองว่า เมื่อพวกเขาชนะแล้ว พวกที่รวยก็จะรวยเฉลิมฉลองกันต่อไป ส่วนพวกคนจนที่มาร่วมในมวลมหาประชาชน เมื่องานเลี้ยงเลิกรา ก็ควรจะกลับไปจนต่อไป (ถามจริง ถ้าคุณไม่รวย คุณมีปัญญาปิดร้านกินไวน์ หรือปิดโรงแรมริมหาดสมุยฉลองไหม)

พวกคนรวยไฮโซ (แกนนำกปปส.) อุตส่าห์ไล่ทุบโครงการเพื่อคนจน (ที่มาร่วมม็อบ) จนไม่เหลือซาก เพื่อที่คนเบี้ยน้อยหอยน้อยเหล่านี้จะได้กลับไปจนซ้ำซากต่อไป สิ่งที่แกนนำกปปส.ปาร์ตี้ไวน์เย้ยหยันคนจนที่เคยร่วมม็อบกับตน ก็เป็นอารมณ์ขันขั้นเทพ

วันที่ 22 พฤษภาที่ผ่านมานั้นทำให้ผมทั้งตื่นเต้นและขบขันพร้อมกันไปในตัว คือวันยึดอำนาจของบิ๊กตู่ ท่านได้ทำให้คนที่เคยยิ่งใหญ่เป็นระดับผู้นำประเทศ เป็นรัฐมนตรี กกต. ว่าที่ประธานส.ว. แกนนำม็อบที่น่าเกรงขามที่สุดของเมืองไทยซึ่งทำตัวประหนึ่งทูต กลับมีสภาพเหมือนเด็กช่างกลที่ถูกครูผู้ปกครองรวบตัวมาเตือน พาไปสงบสติสตังในค่ายดัดสันดานกันเป็นแถว

นอกจากนี้ ยังออกคำสั่งเรียกคนที่เคยยิ่งใหญ่ทุกสาขาอาชีพในเมืองไทยหรือสังคมไทยให้เดินเข้าแถวไปรายงานตัวพร้อมกระเป๋าเสื้อผ้าแปรงและยาสีฟันติดตัวไป ยังกับเด็กๆ

ผมอยากจะแนะนำว่า ทุกคนที่ไปรายงานตัวในสภาพนั้นในอนาคต ไม่ว่าท่านจะเข้าพวกกับเขาได้หรือไม่ ท่านก็ไม่ควรเดินทางออกไปนอกประเทศไทยในฐานะตัวแทนด้านใดด้านหนึ่งของประเทศ กระทั่งเอกอัครราชทูตอีกแล้ว

เพราะท่านหมดท่าและน่าขันมาก ใครไม่ขันก็ตามใจ แต่ผมขัน และผมก็เชื่อว่า ทหารทั้งกองทัพก็คงขันหัวร่อกันกลิ้งไปแล้วป่านนี้