นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์ของโรคระบาดไวรัสโควิด -19 ที่ยึดเยื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้ ที่ได้รับผลกระทบกันทั่วโลกแต่เราก็ยังความสามารถในการยืนหยัดและปรับตัวให้ธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง เรามี 15 แบรนด์ ฐานการผลิต 14 แห่ง สำนักงานอีก 10 แห่ง และทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ใน 16 ประเทศทั่วโลก ดังนั้นหัวใจสำคัญคือความสามารถที่จะปรับตัวได้อย่างทันท่วงทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพื่อจะสามารถตอบโจทย์ทุกฝ่ายได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
โดยในไตรมาสแรกปี 2564 ไทยยูเนี่ยนมีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,803 ล้านบาท มากกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 77 % และมียอดขายคงที่อยู่ที่ระดับ 31,125 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพียง 0.1 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกา และธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า ประกอบกับการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีและได้รับผลดีจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่งแบ่งเป็นธุรกิจอาหารแช่แข็งฟื้นตัวซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้น 10.3 % อยู่ที่ 12,076 ล้านบาท และทำผลงานได้ดีในตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งภาคธุรกิจบริการอาหารมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นมาก นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในธุรกิจของไทยยูเนี่ยน โดยธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่าคืออีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในไตรมาสแรก โดยมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 20.8 % อยู่ที่ 5,469 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และถึงแม้ว่าธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องจะมียอดขายลดลง 13.1 % อยู่ที่ 13,580 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผู้บริโภคมีการจับจ่ายอาหารกระป๋องในช่วงเริ่มแรกของการแพร่ระบาด แต่ถ้าหากเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนจะเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเห็นได้ว่ายอดขายไตรมาสแรกของปีนี้ยังเพิ่มขึ้นถึง 0.9 %
อย่างไรก็ตาม ไทยยูเนี่ยนยังคงเดินหน้าธุรกิจด้วยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของบริษัทในการสร้างสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนควบคู่ไปกับการดูแลความอุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล ในไตรมาสแรกของปีบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือกภายใต้แบรนด์ OMG Meat ในประเทศไทย รวมถึงผลิตภัณฑ์ส่วนประกอบอาหารภายใต้แบรนด์ ยูนีกโบน ผงแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่าในไตรมาสเดียวกันนี้ บริษัทฯ ยังได้จับมือกับองค์กรอนุรักษ์ธรรมชาติระดับโลก The Nature Conservancy ในการทำงานด้านความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทานในการจัดหาปลาทูน่าทั่วโลก เพื่อตรวจสอบการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงานและไร้การควบคุม นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้เข้าร่วมในโครงการ Ocean Disclosure ที่ส่งเสริมด้านความโปร่งใสในอุตสาหกรรมอาหารทะเลโลก อีกทั้ง เมื่อต้นปี 2564 บริษัทฯ ยังได้ประกาศลงทุนในบริษัท บลูนาลู สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีอาหารจากแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้นำในการพัฒนาโปรตีนอาหารทะเลจากเซลล์เพาะเลี้ยงที่ได้รสชาติ เนื้อสัมผัสและมีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่าอาหารทะเล