“อีฟ โรเช่” เร่งปรับตัว ปั้นสินค้าใหม่ มุ่งออนไลน์ ดันยอดโต 15 % สู้พิษโควิดกระทบ ‘ตลาดรวมสกินแคร์’ ติดลบ

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

“อีฟ โรเช่” เร่งปรับตัว ปั้นสินค้าใหม่ มุ่งออนไลน์ ดันยอดโต 15 % สู้พิษโควิดกระทบ ‘ตลาดรวมสกินแคร์’ ติดลบ


วิลาสินี ภาณุรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด บริษัท อีฟ โรเช่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ก่อนปี 2563 ตลาดความงามในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตที่ 6% - 7% ทุกปี ด้วยมูลค่าตลาดรวมกว่า 2.2 แสนล้าน โดยเฉพาะในกลุ่มสกินแคร์ดูแลผิวหน้า ซึ่งมีส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มสกินแคร์อยู่ที่ 80% จากมูลค่าภาพรวมอยู่ที่กว่า 9 หมื่นล้านบาท ในช่วงโควิดระลอกแรก ตลาดครีมบำรุงผิวหน้า (Face Skincare) ได้รับผลกระทบทันทีเนื่องจากคนมองว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ยอดขายร่วงลงอย่างรวดเร็ว ประจวบกับกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มใหญ่ของสินค้าหมวดนี้คือนักท่องเที่ยว เลยทำให้ตลาดบำรุงผิวหน้าติดลบเป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี จนกระทั่งเมื่อผู้บริโภคเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุคนิวนอร์มัล  ตลาดบำรุงผิวหน้ากลับ กลายเป็นกลุ่มที่ฟื้นตัวเร็วขึ้นมา เพราะคนแต่งหน้าน้อยลงแต่เน้นบำรุงผิวมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อต้องใส่ แม้ลูกค้าจะระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้นหรืออาจมีการเปลี่ยนไปใช้ยี่ห้อที่ถูกลง แต่จำนวนชิ้นหรือขั้นตอนในการดูแลผิวไม่ลดลงเลย

สำหรับ อีฟ โรเช่ ปีที่แล้ว ในส่วนยอดขายจากการที่เราปรับตัวและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทุกอย่าง ทำให้ยังเติบโตขึ้น 7% มียอดขายทะลุ 1,300ล้านบาท สวนทางกับตลาดที่ติดลบ โดยเติบโตมากที่สุดในส่วนของ แฮร์ แคร์ ที่ +60% ในส่วนของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจาก โควิด-19 แต่เราก็ยังสามารถโตกว่าตลาดโดยรวมได้ การเติบโตในปีที่แล้วของแบรนด์มาจากลูกค้าใหม่ที่เกิดจากการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ถึง 40% (>200,000 คน) ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่นิยมซื้อของจากหลากหลายช่องทางทั้งออฟไลน์ และ ออนไลน์ในขณะที่เรายังมีกลุ่มลูกค้าลอยัลตี้แบรนด์กลุ่มเดิมที่ยังกลับมาซื้อที่หน้าร้านหลังคลายล็อกดาวน์ โดยมีอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 8% ถ้าเทียบกับจำนวนลูกค้ากลุ่มนี้ในปีก่อนนี้ทั้งปี

โดยปีนี้เรามีแผนลดสาขาลงอีกราว 5 สาขา จากปัจุบันที่มี 88 สาขา ควบคู่กับการเน้นการทำตลาดในช่องทางออนไลน์ ทั้งในส่วนของช่องทางของบริษัทเองและมาร์เก็ตเพลซอื่น ๆ ทั้ง Shopee และ Lazada พร้อมเพิ่มความถี่ในการจัดโปรโมชั่นราว 3-4 ครั้งต่อเดือน และจัดโปรโมชั่นทุกสิ้นเดือน โปรโมชั่นตามเทศกาลเข้ามากระตุ้นยอดขายในช่วงนี้ด้วย

ผู้บริหารสาว กล่าวต่อว่า ในปี 2564 ที่เรายังมียอดขายโตขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ 11% แม้จะมีโควิดรอบ 3 ในปีนี้ โดยเติบโตมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม (hair care) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ (bath & body care) เป็นกลุ่มหลักในการผลักดันยอดขาย อีกทั้งปีนี้เราจะหันมาดันตลาด Face Care ให้มากขึ้น เนื่องจากเรามีนวัตกรรมสินค้าในกลุ่มนี้ที่จะเปิดตัวครั้งใหญ่ถึง 2 ตัว โดยกลุ่มแรกจะเปิดตัวในเดือนพฤษภาคมนี้คือ กลุ่มสินค้าที่ขายดีที่สุดมาตลอด 20 ปี Anti-Age Global โดยนำทัพด้วยสินค้าออกใหม่ “AAG Super Serum Bud Nectar”  ที่จะช่วยขยายตลาดเราไปที่กลุ่มอายุ 20 ปลาย ที่เริ่มอยากจะปกป้องผิวจากริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้เราคาดหวังว่าจะทำให้เราช่วยกระตุ้นตลาดสกินแคร์ให้เพิ่มขึ้น และคาดว่ายอดขายเราเองจะโตเร็วกว่าตลาดประมาณ 2 เท่าตัวหรือโตอยู่ที่ 15 % เนื่องจากเราเชื่อว่าลูกค้าเก่าจะกลับมาซื้อสินค้าในช่วงเปิดตัวนี้เป็นสัดส่วน 70% ของลูกค้าทั้งหมด และอีก 30% จะเป็นลูกค้าใหม่ที่เราจะรีครูทเข้ามาที่แบรนด์อย่างที่กล่าวไปเบื้องต้น



บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ