นายชัยพัฒน์ คุณาภิวัฒน์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายขายประจำประเทศไทย ฟู้ดดีฮับ (FoodDeeHub) ภายใต้กลุ่มบริษัท สยาม คานาเดี่ยน กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและส่งออกอาหารแช่แข็งระดับพรีเมี่ยมมากกว่า 34 ปี กล่าวว่า จากวิถีการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงมาก มีความเร่งรีบ เน้นความสะดวก รวดเร็ว นิยมซื้ออาหารกลับไปรับประทานที่บ้านมากขึ้น และนิยมปรุงอาหารรับประทานเอง ดังนั้นการเลือกซื้ออาหารพร้อมรับประทาน อาหารแช่แข็ง จึงเป็นตัวเลือกสำคัญที่เข้าตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่ของคนในปัจจุบัน โดยเฉพาะในช่วงเกิดการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เนื่องจากว่าผู้บริโภคสามารถซื้อเก็บไว้ได้นาน อายุการเก็บรักษา 1 ถึง 2 ปี และช่วยลดความเสี่ยงจากการไปซื้อของตามตลาดหรือห้างร้านที่แออัดได้และจากปัจจัยข้างต้นสนับสนุนและเร่งให้อัตราการเติบโตของตลาดอาหารพร้อมรับประทานและอาหารพร้อมปรุงให้เติบโตอย่างต่อเนื่องอ้างอิงข้อมูลจากกระทรวงอุตสาหกรรม ปี 2563 แนวโน้มของกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานและอาหารพร้อมปรุง มีมูลค่าทางตลาดรวมประมาณ 21,000 ล้านบาท และมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 3-5% ต่อปี โดยบริษัทเองตั้งเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 10 ล้านบาทต่อปี ภายใน 3 ปีข้างหน้า
ล่าสุดเปิดตัว ‘ฟู้ดดีฮับ’ ศูนย์รวมการจำหน่ายอาหารแช่แข็งระดับพรีเมี่ยมบนอีคอมเมิร์ซ ด้วยเป้าหมายผลักดันให้ ฟู้ดดีฮับ กลายเป็นออนอนไลน์ฮับสำหรับจัดจำหน่ายอาหารแช่แข็งคุณภาพที่สะอาดปลอดภัยได้มาตราฐาน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคยุคสังคมเร่งรับ และยุคนิวนอร์มอล โดยผ่านช่องทางจัดจำหน่ายของผู้ประกอบการอีมาร์เกตแพลส Lazada ,Shopee ในปัจจุบันและเตรียมจำหน่ายผ่าน JD Central เพิ่มเติมในเร็วๆนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนาช่องทางขายของตนเองผ่านโซเชี่ยลมีเดียเฟสบุ๊กแฟนเพจของฟู้ดดีฮับและเว็บไซต์ฟู้ดดีฮับเร็วๆนี้ด้วยเช่นกัน
โดยจะมีกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งพร้อมปรุงและพร้อมรับประทานภายใต้แบรนด์สินค้าของเราเอง ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม อาทิ กลุ่มที่ 1 อาหารทะเลสดแช่แข็ง แบรนด์ Natural Coast กลุ่มที่ 2 เบเกอรี่แช่แข็ง แบรนด์ Club Gourmet นำเข้าจากยุโรป กลุ่มที่ 3 อาหารทะเลกับเนื้อสัตว์ที่ทำจากพืช ประกอบด้วยอาหารพร้อมปรุงและอาหารพร้อมรับประทานเพิ่มเติมอีกด้วยในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยสินค้ากลุ่มนี้ เนื้อทำมาจากพืชนี้ล้วนๆ ภายใต้แบรนด์ Meatoo กลุ่มที่ 4 คือ อาหารทานเล่น และล่าสุดได้เพิ่มอาหารกลุ่มที่ 5 เนื้อสัตว์ยอดนิยม อาทิ เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อเป็ด และเนื้อไก่ อีกด้วย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกจับจ่ายสินค้าคุณภาพที่มีความหลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ความชำนาญและประสบการณ์ในธุรกิจนี้มากว่า 34 ปี ทางบริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสจากวิกฤตสถานการณ์โควิด-19 และได้ตัดสินใจขยายธุรกิจไปยังส่วนของการขายตรงสู่ผู้บริโภค (B2C) ในประเทศไทยในช่วงปลายปี 2563 โดยทางผู้บริหารต้องการที่จะใช้เซอร์วิสหลักซึ่งได้รับการยอมรับจากลูกค้าต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดหาวัตถุดิบ, การควบคุมคุณภาพ และระบบโลจิสติกส์ เป็นต้น มาใช้ในการทำตลาด B2C ในประเทศไทย โดยเฉพาะปัจจุบันแนวโน้มการทำตลาดออนไลน์มีการเติบโตอย่างมาก
“ถึงแม้เราเพิ่งเริ่มเข้ามาในตลาด B2C แต่เรามีความมั่นใจจากการที่เรามีประสบการณ์ในตลาด B2B มาก่อนเชื่อว่าจะเป็นรากฐานที่ทำให้เราสามารถขยายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในทุกๆแบรนด์ภายใต้ ฟู้ดดีฮับ ให้เติบโตและได้รับความเชื่อใจจากผู้บริโภคเช่นเดียวกับตลาด B2B ด้วยปัจจัยหลักคือความหลากหลายและคุณภาพของสินค้า เสริมด้วยปัจจัยบวกเรื่องพฤติกรรมไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปและการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการสร้างการรับรู้ และการขยายฐานลูกค้าให้กับฟู้ดดีฮับมากยิ่งขึ้น”
ผู้บริหาร กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับแผนการตลาดปีนี้เราจะทำแบบ 360 องศา คือ เน้นทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ทั้งนี้จากแนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคเน้นการทำตลาดช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เนื่องจากยุคนิวนอร์มอลโดยการทำตลาดแบบออนไลน์จะช่วยกระจายและขยายสินค้าได้ครอบคลุมมากกว่า ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นส่วนลด การจัดโปรแถม ซึ่งฟู้ดดีฮับเลือกใช้ระบบขนส่งควบคุมอุณหภูมิที่ได้มาตราฐานสำหรับสินค้าทุกตัว เพื่อรักษาคุณภาพสินค้าซึ่งขณะนี้ทางฟู้ดดีฮับ ได้แบ่งเบาลูกค้าในด้านค่าขนส่งมากกว่าครึ่ง โดยคิดค่าขนส่งทั่วไทย เพียงแค่ 99 บาทต่อออร์เดอร์