Toggle navigation
วันอาทิตย์ ที่ 2 พฤศจิกายน 2568
หน้าแรก
ข่าวสาร
วิเคราะห์-บทความ-ต่างประเทศ
ประกัน
ยานยนต์
การเงิน-ธนาคาร
หุ้น-กองทุนรวม
อสังหาริมทรัพย์
พลังงาน-คมนาคม-โลจิสติกส์
อุตสาหกรรม-เออีซี-เอสเอมอี
ไอที
การศึกษา-กทม
การตลาด-ซีเอสอาร์
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
บันเทิง
ขายตรง
ประชาสัมพันธ์
PR NEWS -ข่าวประชาสัมพันธ์
ไลฟ์สไตล์
ท่องเที่ยว
แฟชั่นโซไซตี้-ดูดวง
ช๊อป-ชิม-ชิล
สุขภาพ-ความงาม
วิดีโอ-คลิปข่าว
E-Book
นสพ. สยามธุรกิจ
ติดต่อเรา
สามารถส่งข้อมูล ข่าวสาร ทางอีเมลล์ : siamturakijonlinenews@gmail.com และ สำหรับฝ่ายโฆษณา ทางอีเมลล์ : siamturakijadvertising@gmail.com
หน้าแรก
เกษตรยุคใหม่-ภูมิภาค
อนุบาลกุ้ง 30 วัน เทคนิคป้องกันกุ้งตายด่วน (จบ)
อนุบาลกุ้ง 30 วัน เทคนิคป้องกันกุ้งตายด่วน (จบ)
วันพุธที่ 03 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
Tweet
หลังจากทีมข่าวเกษตร-สยามธุรกิจได้เข้าพูดคุยกับ ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมง ถึงสาเหตุและที่มารวมถึงวิธีป้องกันการเกิดโรคกุ้งตายด่วน (โรคกุ้ง อีเอ็มเอส) ไปเมื่อครั้งก่อน ซี่งท่านอธิบดีกรมประมงได้กล่าวถึงวิธีการที่จะช่วยป้องกันกุ้งไม่ให้เกิดโรคตายด่วนนั้นจะต้องคัดเลือกลูกกุ้งที่แข็งแรงจากการทดสอบ stress test หรือการใช้ลูกกุ้งที่มีขนาดใหญ่ ขึ้นมาเลี้ยงร่วมกับการบริหารจัดการบ่อ และ การเลี้ยงอย่างดูแลเอาใจใส่ เช่น การปล่อย กุ้งในอัตราที่เหมาะสม การให้อาหารที่พอดี และหมั่นตรวจอาหารที่เหลือ ประกอบกับควบคุมคุณภาพน้ำและพื้นบ่อให้สะอาด
ล่าสุดทีมข่าว "สยามธุรกิจ" ได้ติดตาม ท่านอธิบดีกรมประมงไปเยี่ยมชมการอนุบาล ลูกกุ้งของฟาร์มกุ้งทะเลทอง ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลช้างข้าม อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี และนำชมการเลี้ยงกุ้งที่ซีฟาร์ม 2 ต.ปากน้ำประแสร์ อ.แกลง จ.ระยอง ซึ่งเป็นของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ หลังจากกล่าวทักทายกันเล็กน้อยแล้ว ท่านอธิบดีกรมประมงกล่าวว่า "หลังจากพบมีการเกิดโรคอีเอ็มเอส หรือกุ้งตายด่วนขึ้นในจีน เมื่อปี 2552 พบที่เวียดนาม เมื่อต้นปี 2553 พบในมาเลเซีย เมื่อปลายปี 2553 และพบในไทยเมื่อปลายปี 2554 ในพื้นที่ภาคตะวันออก ตามลำดับ เราก็หาแนวทางป้องกันอย่างต่อเนื่อง และเมื่อกลางปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทเอกชน คือ ซีพีเอฟ ได้เข้าไปปรึกษาหารือกับนักวิชาการกรมประมง เพื่อหาแนวทางป้องกันโรค ซึ่งบริษัทซีพีได้นำหลาย วิธีที่กรมประมงแนะนำไปศึกษาทดลอง ปฏิบัติจริงในภาคสนาม หรือฟาร์มเลี้ยงจริง พบว่าหนึ่งในวิธีหรือแนวทางป้องกันโรคตายด่วน ทางรอดที่ชัดเจนของโรคนี้ ต้อง มีการอนุบาลลูกกุ้ง 30 วัน ก่อนปล่อยสู่บ่อเลี้ยงจริง ซึ่งขณะนี้ด้วยแนวทางดังกล่าว สามารถป้องกันการเกิดโรคนี้ได้"
หลังจากนั้นเราได้ไปพูดคุยกับคุณวีระพงษ์ ลาภสาร รองกรรมการผู้จัดการ ซีพีเอฟ ซึ่งรับผิดชอบดูแลฟาร์มกุ้งภาคตะวันออกของบริษัท เพื่อสอบถามถึงแนวทางในการเลี้ยงกุ้งเพื่อให้กุ้งรอดจาก โรคตายด่วน คุณวีระพงษ์เล่าว่า "แนวทาง การดำเนินงานของกรมประมง มุ่งให้ความสำคัญในเรื่องของการตรวจสอบคุณภาพ และการบริหารจัดการฟาร์มตั้งแต่โรงอนุบาล ลูกกุ้ง (นอเพียซ) ลูกกุ้ง การเตรียมบ่อดิน การเตรียมน้ำ การตรวจสอบคุณภาพน้ำระหว่างการเลี้ยง การตรวจสอบสุขภาพกุ้ง ระหว่างการเลี้ยง ซึ่งเป็นแนวทางที่ดี และเกษตรกรควรจะนำไปเป็นหลักปฏิบัติอย่างเคร่งครัด"
"สำหรับเรานั้น เราได้นำวิธีการดังกล่าวของกรมประมงมาใช้ควบคู่ไปกับแนวทางการพัฒนาการเลี้ยงของบริษัทฯมาหลายปีแล้ว และประสบความสำเร็จเป็น อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการอนุบาลลูกกุ้ง โดยจะมีการตรวจสอบความแข็งแรงและสุขภาพ ร่วมกับการบริหารจัดการบ่ออย่าง มีประสิทธิภาพในแนวทางที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้อัตรารอดจากการเลี้ยงสูงขึ้น ซีพีเอฟมีการอนุบาลลูกกุ้ง 30 วัน ก่อนปล่อยเลี้ยง รวมทั้งการทำความ สะอาดบ่อ การตรวจสอบแฮตเชอรี่ (hatchery) ตลอดจนระบบขนส่งอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการขยายตัวของโรคตายด่วน ซึ่งจะทำให้อัตราการรอดของกุ้งสูงขึ้น เรานำวิธีการบริหารจัดการฟาร์มดังกล่าวไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในทุกๆ ฟาร์ม ทำให้กุ้งรอดพ้นวิกฤติจากโรคตายด่วนได้ถึงประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งหลังจากเกิดโรคตายด่วนในกุ้ง ผลผลิตหายไปจากระบบ 30-40 เปอร์เซ็นต์ของผลผลิตรวมของประเทศ และผลผลิตน่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า"
สุดท้ายเรากลับไปถามท่านอธิบดีกรมประมงว่าคาดการณ์สถานการณ์กุ้งใน ช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้อย่างไร ท่านอธิบดีกรมประมงกล่าวว่า "กรมประมงคาดการณ์ว่าผลผลิตกุ้งจะเริ่มเข้าสู่ตลาดมากขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปีนี้ ซึ่งขณะนี้เกษตรกรมีการปล่อยลูกกุ้งเฉลี่ยประมาณเดือนละ 4.5 พันล้านตัว เทียบกับ ช่วงปกติที่ปล่อยอยู่ 5 พันล้านตัว และคาดว่าผลผลิตกุ้งของไทยในปี 2556 จะผลิต ได้ 300,000-350,000 ตัน หลังจากเกษตรกร ปฏิบัติตามคำแนะนำของกรมประมงในการ แก้ปัญหาโรคตายด่วนอย่างเคร่งครัด และสามารถควบคุมโรคได้"
+ คำแนะนำในการจัดการเลี้ยงที่ดีสำหรับโรงอนุบาลลูกกุ้ง (จบ)
วิธีการอนุบาล
1.ใช้นอเพลียสที่สมบูรณ์แข็งแรงมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ มีผลการตรวจสอบเชื้อโรคในพ่อแม่พันธุ์ตามที่กรมประมงกำหนดไว้ คือ โรคตัวแดงดวงขาว (WSSV) โรค หัวเหลือง (YHV) โรคแคระแกร็น (IHHNV) โรคทอร่า (Taura) โรคกล้ามเนื้อขาวขุ่น (IMNV)
2.ความหนาแน่นของนอเพลียสที่เริ่มปล่อยลงเลี้ยงประมาณ 150 ตัว/ลิตร
3.อาหารและการให้อาหารโดย
- ช่วงต้นของการอนุบาล (ซูเอียถึงไมซิส) ควรเน้นอาหารธรรมชาติที่มีการเตรียม ใหม่ๆ พวกแพลงก์ตอน เช่น คีโตเซอรอส โดยระบบการเพาะเลี้ยงแพลงก์ตอนควรมีความ สะอาด และผลิตได้ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับการเลี้ยงลูกกุ้งได้ทุกวัน ตามระยะที่ลูกกุ้ง ต้องการ
- สำหรับช่วงปลายระยะไมซิส ควรให้อาร์ทีเมีย ที่เพาะด้วยกระบวนการที่สะอาด ไม่ปนเปื้อนเชื้อโรค และให้เพียงพอกับความต้องการ เพื่อให้ลูกกุ้งได้คุณค่าทางอาหาร ที่เหมาะสมกับพัฒนาการของร่างกาย
4.มีการสังเกตพฤติกรรมการกินอาหารของกุ้งอย่างสม่ำเสมอเพื่อใช้ในการปรับปริมาณอาหารที่ให้ ลดการหมักหมมของปริมาณสารอินทรีย์ในบ่อ
5.มีการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพน้ำระหว่างเลี้ยงอย่างสม่ำเสมอ เช่น อุณหภูมิ น้ำ ออกซิเจน ความเป็นด่าง พีเอช ความเค็มที่เหมาะสม และปริมาณแร่ธาตุที่จำเป็น รวมถึงปริมาณแบคทีเรียกลุ่มวิบริโอ (Total Vibrio Count) ในน้ำของบ่ออนุบาลต้องควบคุมไม่ให้มีปริมาณมากเกิน 1,000 cfu/ml
6.มีการดูดตะกอนและเปลี่ยนถ่ายน้ำระหว่างการอนุบาล เพื่อรักษาความสะอาดและสุขอนามัยที่ดี ป้องกันการเพิ่มจำนวนของเชื้อโรคที่ไม่พึงประสงค์ที่อาจติดมายัง ลูกกุ้งได้
7.มีการตรวจเช็กสุขภาพลูกกุ้งอย่างสม่ำเสมอ เช่น ส่องกล้องตรวจสอบปริมาณ เม็ดไขมันในตับ เพาะเชื้อตรวจสอบปริมาณวิบริโอในลูกกุ้ง และทดสอบความแข็งแรงของกุ้ง โดยการทดสอบความทนทานต่อความเครียดด้วยน้ำจืด และฟอร์มาลิน หรือมีการตรวจสอบคุณภาพอื่นๆ ที่เหมาะสม
8.เกษตรกรควรเลี้ยงกุ้งในบ่ออนุบาลจนกระทั่งกุ้งมีการพัฒนาทางร่างกายที่สมบูรณ์ มีสรีระร่างกายที่พร้อมในการปรับตัวสำหรับการดำรงชีวิตในบ่อดิน เช่น มีการ พัฒนาของเหงือกที่สมบูรณ์ และร่างกายพัฒนาสมวัย โดยทั่วไปลูกกุ้งที่เหมาะสมกับการ นำไปเลี้ยงในบ่อดินต้องมีการพัฒนาไม่น้อยกว่าระยะโพสลาวาร์ 10
9.ควรมีผลการตรวจสอบโรคในลูกกุ้ง การทดสอบคุณภาพ ผลการตรวจปริมาณ เชื้อแบคทีเรียวิบริโอรวม และ Vibrio parahaemolyticus ในลูกกุ้งจากห้องปฏิบัติการที่น่าเชื่อถือ แสดงให้เกษตรกรทราบทุกครั้งที่มีการติดต่อซื้อขาย โดยค่าที่เหมาะสมสำหรับ ปริมาณวิบริโอรวม คือ น้อยกว่า 100 cfu/g และ Vibrio parahaemolyticus คือ น้อยกว่า 30 cfu/g
แนวทางการลดและควบคุมปริมาณเชื้อแบคทีเรีย Vibrio ในบ่ออนุบาลมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ หรือเพิ่มปริมาณน้ำที่เปลี่ยนถ่ายในแต่ละครั้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
The Associated Press
ดัชมิลล์ ผนึกกำลัง กรมส่งเสริมสหกรณ์ จัด...
...
จัดยิ่งใหญ่ AIHEF 2025 พร้อมปักหมุดสมุนไ...
...
"ยันม่าร์" สานต่อความยิ่งใหญ่ จัดงาน “YA...
...
“คต. เปิดมหกรรมสินค้าเกษตรนวัตกรรม AGRI ...
...
กาญจนบุรี เปิดงานใหญ่ Yard OTOP Sale “กา...
...
บริษัท สมาร์ท โกลด์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด SMART GOLD MEDIA GROUP CO.,LTD. ติดต่อสอบถาม โทร : 0893284192 , ID Line : @siamturakij และ ฝ่ายโฆษณา siamturakijadvertising@gmail.com
© 2013 สยามธุรกิจ
×
เว็บไซต์ “สยามธุรกิจ” ใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และ นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
กดยอมรับ