อย่างที่ทราบกันดีว่าในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา จากมาตราการล็อกดาวน์ปิดประเทศ จำกัดนักท่องเที่ยว และมีการประกาศเคอร์ฟิวจำกัดเวลาการเปิดปิดร้านอาหาร ห้ามนั่งทานอาหารในร้าน และห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลน์ในร้าน อีกทั้ง การปิดสถานบันเทิง ตั้งแต่ในช่วงระลอกแรก จนผ่านมาระลอกสอง และมาระลอกสามที่ถือว่าหนักหนาสาหัสเนื่องจากมาตราการป้องกันภาครัฐครั้งนี้ยาวกว่าสองระลอกที่ผ่านมาเนื่องจากมียอดผู้ติดเชื้อจำนวนมากและแทบจะไม่ลดลงเลย ยิ่งส่งผลให้ทุกคนต้องกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้นกิจกรรมต่างๆ ที่เคยทำนอกบ้าน โดยเฉพาะการสังสรรค์กับเพื่อนฝูงก็ต้องงดไปเนื่องจากร้านอาหารก็ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และสถานบันเทิง ผับ บาร์ ก็ยังคงปิดอยู่แน่นอนส่งผลกระทบอย่างมากกับอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
โดย เมื่อต้นปีที่ผ่านมาทาง “สมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย”ระบุว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ปี 2563 คาดว่ามูลค่าการตลาดจะอยู่ที่ 170,000 ล้านบาท ติดลบร้อยละ 60-70 เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ จากปัญหาเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภค รวมถึงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สะท้อนให้เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์โควิด-19 มีผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย โดยคาดว่า มูลค่าการตลาดจะหายไปราว 1.1-1.48 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 30-40 ของมูลค่าตลาดราว 3.7 แสนล้านบาท ซึ่งในปีนี้คาดการณ์ว่าน่าจะเทียบเท่ากับปีที่ผ่านมา
โดย นายธีรภัทร์ พงศ์เมธี ผู้จัดการฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ไฮเนเก้น กลุ่มบริษัท ทีเอพี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้เข้าสู่ระลอกที่สามซึ่งถือว่าสาหัสกว่าระลอกอื่นๆที่ผ่านมาอย่างมากส่งผลให้ภาพรวมตลาดเบียร์ในไทยเติบโตลดลงเป็นตัวเลข 2 หลัก อันเนื่องมาจากสถานการณ์ที่เราทราบกันคือ ให้ปิดร้านอาหาร ผับ บาร์ และร้านอาหารห้ามนั่งดื่มแอลกฮอลล์เป็นสิ่งอิมแพคที่ส่งผลอย่างเห็นได้ชัด สำหรับไฮเนเก้นเองแน่นอนว่าเราได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากไฮเนเก้นเองเราอยู่ในตลาดเบียร์พรีเมียมในไทยซึ่งยอดขายกว่า 50% ของเรามาจากช่องทาง On-premise คือ จำหน่ายผ่านสถานบันเทิงและร้านอาหารต่างๆ โดยครึ่งปีแรกไฮเนเก้นเองก็มียอดขายตกเป็นตัวเลข 2 หลัก
“สำหรับภาพรวมตลาดเบียร์ในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือนั้นเรามองว่าน่าจะขึ้นอยู่จากหลายๆ ปัจจัย ทั้งสถานการณ์ COVID-19 ว่าแนวโน้มจะไปทิศทางใหน ในเรื่องการฉีดวัคซีน และการประกาศของทางภาครัฐบาลว่าเมื่อไหร่จะปลดล็อคให้ช่องทาง On-premise กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง”
ผู้บริหารหนุ่ม กล่าวต่อว่า จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นที่ทำให้เราไม่สามารถขายผ่านช่องทาง On-premise ได้อย่างเต็มที่ เราจึงได้หันมาปรับกลยุทธ์ธุรกิจโดยจะหันมาทำตลาด Off-Premise คือ ช่องทางร้านค้าทั่วไปมากขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคลดการออกไปพบปะสังสรรค์นอกบ้าน หันมาดื่มที่บ้านแทน และแยกกันดื่มคนละแก้ว เราจึงได้ปรับกลยุทธ์ในช่องทางร้านค้าทั่วไปด้วยการครีเอท SKU ใหม่ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน และเพื่อเพิ่มยอดขายไฮเนเก้นผ่านช่องทางร้านค้าทั่วไปมาทดแทนช่องทาง On-premise ที่หายไป จึงได้เพิ่ม Pack Size ให้ตอบโจทย์ดังกล่าวด้วยการออกบรรจุภัณฑ์ 320 มล. ซึ่งเป็นขนาดที่พอเหมาะสำหรับการดื่มคนเดียว โดยปัจจุบันมี 3 Pack Size กระป๋องขนาด 320 มล. x 2 , กระป๋องขนาด 490 มล. x 6 และ กระป๋องขนาด 490 มล. x 15 เป็นต้น
อีกทั้ง ล่าสุด ไฮเนเก้นคิกออฟแคมเปญฟุตบอลยูโร 2020 ในชื่อ “Enjoy the Rivalry” ภายใต้แนวคิด There’s Fun in the Rivalry หรือ สนุกกับการเป็นคู่แข่ง ด้วยกิจกรรมที่จะทำให้แฟนบอลได้เชียร์สนุกกับการเป็นคู่แข่งตลอดระยะเวลา 1 เดือนเต็มๆ ของการแข่งขัน เริ่มจากการเปลี่ยนพื้นที่โฆษณาให้กลายเป็นพื้นที่เชียร์ฟุตบอลตลอดระยะเวลาการแข่งขัน พร้อมเปิดตัวแพคเกจจิ้งใหม่ Heineken UEFA EURO 2020™ ลายธงชาติของ 24 ทีมที่เข้าร่วม และกิจกรรม Enjoy the Rivalry Nights Online ตอบโจทย์พฤติกรรมการดูบอลที่เปลี่ยนไปในช่วงสถานการณ์ปัจจุบัน