ไมเคิ้ล ถัง กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามพิวรรธน์ ไซม่อน จำกัด ผู้ดูแลโครงการ สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ กล่าวว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า สถานการณ์โควิด เป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สร้างอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ แม้ปัจจัยแวดล้อมภายนอกเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ สร้างอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ แต่ถือเป็นปีที่บริษัทได้เรียนรู้ ปรับตัว วางแนวทางการทำงาน สร้างสรรค์กลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อผลักดันธุรกิจให้ยังเดินหน้าต่อได้ อาทิ การเร่งพัฒนาโมเดลธุรกิจออนไลน์ (S-Commerce) เพื่อตอบสนองพฤติกรรมนักช้อปในการซื้อสินค้าได้ทุกที่ทุกเวลา การโฟกัสทำตลาดกับลูกค้าคนไทย ทดแทนนักท่องเที่ยวที่หายไปจากผลกระทบของโรคโควิด-19 โดยมีการเพิ่มมาตรการดูแลความปลอดภัยด้านสุขอนามัยอย่างเคร่งครัดในการทำความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการตรวจสุขภาพพนักงานเป็นระยะ สนับสนุนให้พนักงานได้รับวัคซีน โควิด-19 และการคัดกรองพนักงานจากบริษัทคู่ค้าที่เข้ามาทำงานในพื้นที่อย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจเมื่อมาช้อปปิ้ง
ทั้งนี้ จากการปรับตัวดังกล่าวส่งผลให้ทำให้สามารถสร้างผลงานได้อย่างน่าพอใจ โดยเปิดร้านค้าแบรนด์ชั้นนำรวมเป็น 125 ร้านดัง คิดเป็น 91% ของพื้นที่ (ข้อมูลถึงมิถุนายน 2564) สามารถดึงดูดผู้บริโภคให้เข้ามาใช้บริการกว่า 2 ล้านคน โดยมีสัดส่วนเป็นผู้หญิง 65% และผู้ชาย 35% ครอบคลุมทุกกลุ่มอายุ ทั้งเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน ผู้สูงวัย ตอกย้ำความแข็งแกร่งและศักยภาพในการดึงดูดนักช้อปและชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังนี้ สามารถดึงดูดผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการได้อีกมากกว่าล้านคน ขณะที่ยอดการใช้จ่ายของลูกค้าที่เข้ามาชอปปิงภายในสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ เฉลี่ยอยู่ที่ 1,400-1,500 บาทต่อคน ค่อนข้างน่าพอใจและเหนือความคาดหมาย! เป็นตัวเลขที่ต้องการรักษาฐานไว้ให้ได้ในปีนี้
ผู้บริหาร กล่าวต่อว่า และจากสถานการณ์การระบาดของโควิดระลอก 3 ภายในประเทศ ส่งผลกระทบต่อทราฟฟิกที่เข้ามาในศูนย์ จากเดิมที่เฉลี่ย 5,000 คนต่อวัน ลดลง 20% เหลือ 3,000 คนต่อวัน ทำให้บริษัทต้องปรับแผนงานและกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อรองรับ โดยแผนที่วางไว้จากนี้ ยังคงเดินหน้าปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากกลุ่มเป้าหมายภายในประเทศ หลังมีการคาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศไทยจะขยายตัวในระดับต่ำ 1-2% และการฟื้นตัวจะเริ่มดีขึ้นปีหน้า นักท่องเที่ยวจะกลับมาเติบโต 10-15% กระทั่งปี 2566-2567 จึงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงจำเป็นต้องวางกลยุทธ์การตลาด เพื่อรองรับผู้ใช้บริการลูกค้าทั้งที่เข้ามาจับจ่ายที่ศูนย์และสั่งซื้อผ่านบริการออนไลน์ต่าง ๆ โดยจัดโปรโมชั่นเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายคนไทยเป็นหลัก 95% และชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศไทย 5%
นอกจากนี้ กลยุทธ์การบุกตลาด สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพ ได้ปรับตัวให้สอดคล้องวิถีปกติใหม่หรือ New Normal จึงพัฒนาแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์อย่างต่อเนื่อง นำสินค้าและบริการตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกแพลตฟอร์ม ทั้งเว็บไซต์ของสยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพที่ www.siampremiumoutlets.com โซเชียลคอมเมิร์ซผ่าน Facebook: facebook.com/SiamPremiumOutletsBangkok, อินสตาแกรม : Instagram.com/siampremiumoutletsbangkok และบริการ CHAT&SHOP บนไลน์ออฟฟิเชี่ยล : @siampremiumoutlets ซึ่งคาดว่าบริการนี้จะสามารถช่วยให้ร้านค้าต่าง ๆ สามารถเพิ่มยอดขายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 10-30% อีกทั้ง ในครึ่งปีหลังนี้ได้เตรียมเปิดตัวแบรนด์ดังที่จะเปิดเพิ่มภายในศูนย์ ไม่ว่าจะเป็น ลองฌองป์ (Longchamp) ซึ่งจะเปิด Exclusive Outlet แห่งแรกที่สยามพรีเมี่ยมเอาท์เล็ต กรุงเทพฯ ในเดือนสิงหาคมนี้ และแบรนด์รองเท้าเอคโค่ (Ecco) หลังช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ทยอยเปิดร้านดังเข้ามาเสริมแกร่งภายในศูนย์ไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น รีบอค (Reebok), บราวน์ แอนด์ โค (Browne & Co.), ยู บาย อุงกาโร (U by Ungaro), ปิแอร์ การ์แดง (Pierre Cardin), อัลฟ่าคิด (Alphakid) เป็นต้น
“สำหรับแผนดำเนินธุรกิจเราขณะนี้ยังคงโฟกัสไปที่ผู้บริโภคคนไทยและต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยเป็นหลัก เพื่อสร้างการรับรู้ดึงมาใช้จ่ายที่ศูนย์ให้มากที่สุด โดยเราคาดหวังว่าถ้าหากแผนการกระจายวัคซีนของภาครัฐเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และอยู่ในระดับการฉีดเข็มแรกที่ 10% ในทุกเดือน เชื่อว่าแผนการเปิดประเทศ 120 วัน แต่หวังว่าอย่าให้มีการระบาดเกิดขึ้นอีก ภายในครึ่งปีหลังนี้ก็น่าจะสามารถดำเนินการได้ และภาพรวมกำลังซื้อจะเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ทั้งจากชาวไทยและชาวต่างชาติ ได้อย่างแน่นอน”